ที่มา จันทร์ อสงไขย
และ พลโท วิวัฒน์ วิสนุวิมล พร้อม นักวิชาการทุกแขนง
ช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัย ศึกษาเล่าเรียน
@ [โรงพยาบาลในชุมชน สถานอนุบาลเด็กอ่อนในชุมชน โรงเรียนอนุบาล/ โรงเรียนทุกระดับสำหรับประชา กรในวัยเรียนทุกกลุ่มในชุมช น วิทยาลัย/ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัย/ การศึกษาทุกระบบในชุมชน]
*โรงพยาบาลในชุมชน; ใช้บัตรทองได้แต่มีปัญหายาน อกบัญชียาหลัก และค่าใช้จ่ายที่เป็นหัตการ ทางการแพทย์ ที่ประชาชนยังต้อง "จ่าย"
*สถานอนุบาลเด็กอ่อนในชุมชน ; ในชุมชนตามหมู่บ้านส่วนใหญ่ เป้นของเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนก็ยังต้ อง "จ่าย"
*โรงเรียอนุบาลในชุมชน;ส่วน ใหญ่เป้นของเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนก็ยังต้ อง "จ่าย" หรือเป็นของรัฐบาลประชาชนก็ ยังต้อง "จ่าย" ในรูปแบบต่างๆ
*โรงเรียนทุกระดับสำหรับประ ชากรในวัยเรียนทุกกลุ่มในชุ มชน; มีอยู่ ๓ สังกัด เทศบาล(องค์การปกครองส่วนท้ องถิ่น). เขตพื้นที่การศึกษา(สพท.>สพ ฐ.>กระทรวงศึกษาธิการ-ศธ.) และเอกชน (สยช.>กระทรวงศึกษาธิการ-ศธ .) ไม่ว่าจะเป็นของเอกชนหรือรั ฐหรือรัฐท้องถิ่น(เทศบาล) ประชาชนก็ล้วนแต่ต้อง "จ่าย" ในรูปแบบต่างๆ กัน
*มหาวิทยาลัย/ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัย/ วิทยาลัย/ การศึกษาทุกระบบในชุมชน; ระดับนี้ยิ่งต้องจ่าย ทั้งของรัฐและเอกชน เฉพาะของเอกชนก็แพงมาก รัฐช่วยแค่ให้กู้เรียน มิหนำซ้ำระดับอุดมศึกษาและอ าชีวศึกษาที่เป็นของรัฐก็จะ แยกตัวออกไปเป็นของเอกชน ทำให้การศึกษาในระดับนี้ (ระดับมันสมอง-แรงงานฝีมือ) มีค่าแลกเปลี่ยนสูงมาก หมายการศึกษาในระดับนี้ ประชาชนยิ่งต้อง "จ่าย" ในรูปแบบต่างๆ ที่สูงมากขึ้นไปอีก จำนวนประชากรไทยที่จะเข้าถึ งการศึกษาระดับนี้จึงน้อยมา กเมื่อเทียบกับจำนวนพลเมือง ทั้งหมดของประเทศ
**การต้อง "จ่าย" ดังกล่าวนี้ หากไม่มี "จ่าย" ย่อมมีผลต่อการเข้าไม่ถึงกา รรักษาพยาบาลหรือบริการทางด ้านสาธารณสุขและการศึกษาอย่ างแน่นอน ส่งผลต่อเนื่องถึงสมรรถนะขอ งร่างกายและสมองของประชากรอ ย่างแน่นอนเช่นกัน อันทำให้สมรรถนะของประเทศต่ ำ
*@ ประเด็น คือ ในการเข้าถึงการศึกษาทุกระด ับชั้นของประชากรจะต้องทำให ้เป็นรัฐสวัสดิการทั้งหมดให ้เป็นการเรียนฟรีทุกระดับทุ กค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายรายเดือนข องประชากรในวัยศึกษาเล่าเรี ยนตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงอาชีวศ ึกษาและอุดมศึกษา ตลอดจนค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ที่ต้องฟรีตลอดชีวิต
*@สิ่งสำคัญที่ต้องคิดและพิ จารณา คือ สมดุลระบบนิเวศด้านประชากรใ นวัยทำงานของประเทศหลังจากพ ้นช่วงวัยศึกษาเล่าเรียนอย่ างเป็นทางการทั้งในระบบ นอกระบบ ที่จะต้องออกมาเป็นการศึกษา ตลอดชีวิต และหรือการศึกษาตามอัธยาศรั ย แล้วว่าได้ดุลยภาพหรือไม่? โดยมีดุลยภาพพื้นฐานทางด้าน ประชากรที่สำคัญอยู่ ๒ ดุลยภาพ คือ ดุลยภาพประชากรทางด้านเศรษฐ กิจ = ดุลยภาพระหว่างแรงงานสมองกั บแรงงานกาย และ ดุลยภาพประชากรทางด้านการเม ืองการปกครอง = ดุลยภาพประชากรที่จะเข้าสู่ โครงสร้างชั้นบน/ ชนชั้นปกครองระดับต่างๆ กับประชากรที่จะเข้าสู่โครง สร้างชั้นล่าง/ผู้ถูกปกครอง
*@@ดุลยภาพประชากรทางด้านเศ รษฐกิจ = ดุลยภาพระหว่างแรงงานสมองกั บแรงงานกาย
แรงงานสมอง(นักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ผู้เชี่ยวชาญชำนาญการ เทคนิคเชี่ยน วิชาชีพเฉพาะ ฯลฯ) แรงงานฝีมือ แรงงานไร้ฝีมือ มีสัดส่วนที่ยังให้การพัฒนา ประเทศให้ยืนบนขาของตัวเองใ นภาคการผลิตจริง มีความเป็นไปได้ปัจจัยการผล ิตทางด้าน "แรงงาน" ทั้งแรงงานสมองและแรงงานกาย จะต้องได้ดุลยภาพกันระหว่าง แรงงานสมองกับแรงงานกาย แต่ ณ ปัจจุบันประเทศเราขาดแรงงาน สมองที่เป็นผู้เชี่ยวชาญชำน าญการด้านต่างๆ จำนวนมาก ขณะที่แรงงานกายก้ต้องการกา รพัฒนาทางด้านฝีมือ เพื่อยกระดับเป็น "แรงงานฝีมือ" ปมเงื่อนที่สำคัญ คือ การวางพื้นฐาน "องค์ความรู้จริง" แขนงต่างๆ ที่ต้อง อบรมบ่มเพาะประชากรตั้งแต่ฐ านรากวัยอนุบาล/ปฐมวัย ขึ้นไป จนถึงการศึกษาข้นสูงสุด
*@ ประเด็น คือ "องค์ความรู้จริง" แขนงต่างๆ ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้เ ชิงรุกด้วยการ "เรียนผ่านภาคปฏิบัติ/ ลงมือทำจริง" เป็นสำคัญเป็นหลัก (ไม่ใช่การท่องจำแบบพระท่อง บทสวด หรือนักบวช/ ผู้สอนศาสนาท่องคำสอนในคัมภี ร์) จึงจะมีฐานทางสมองและทางร่า งกายที่แน่นหนาและแข็งแกร่ง ในอันที่จะพัฒนาต่อยอดไปถึง องค์ความรู้ระดับสูง เช่น ระดับผู้เชียวชาญชำนาญการที ่จะผลิตเทคโนโลยี่และด้านต่ างๆ ด้วยตนเองได้ เป็นต้น
*@@ดุลยภาพประชากรทางด้านกา รเมืองการปกครอง = ดุลยภาพประชากรที่จะเข้าสู่ โครงสร้างชั้นบน/ ชนชั้นปกครองระดับต่างๆ กับประชากรที่จะเข้าสู่โครง สร้างชั้นล่าง/ผู้ถูกปกครอง
หากพิจารณาศักยภาพทางด้านกา รเมืองการปกครองซึ่งเป็นส่ว นของการบริหารจัดการโภคทรัพ ย์ของประเทศในระบบการ "เลือกตั้ง" เพื่อให้ได้ตัวแทนเข้าไปบริ หารจัดการประเทศในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ในระดับชุมชน(องค์กา รปกครองส่วนท้องถิ่น สท. สจ.) ไปจนถึงระดับประเทศ (สส. สว.) พบว่า ระหว่าง ผู้ถูกเลือกและผู้เลือก ศักยภาพทางความคิดการเมืองก ารปกครองห่างไกลกันมาก ระดับการศึกษาต่างกันมาก จึงไม่เท่าทันกัน ทำให้การบริหารจัดการประเทศ เป็นไปอย่างไม่ได้ดุลยภาพ ในการจัดสรรทรัพยากรและโภคท รัพย์ของประเทศในระหว่างประ ชากรกลุ่มต่างๆ ก่อเกิด กลุ่มประชากรที่กัดกร่อนประ เทศ ที่เรียกว่า นักการเมืองทุนนายหน้าสามาน ย์ นั่นคือ สมดุลระบบนิเวศทางด้านการเม ืองการปกครองไม่ได้ดุลยภาพ """"""นี่เป็นการพิจารณาดุล ยภาพประชากรในมิติด้านการเม ืองปกครองในบริบทของ "ผู้เลือก" และ "ผู้ถูกเลือก"
*@ ประเด็น คือ ต้องให้ "ผู้เลือก"/ ประชากรที่จะเข้าสู่โครงสร้า งชั้นล่าง/ผู้ถูกปกครอง กับ "ผู้ถูกเลือก"/ ประชากรที่จะเข้าสู่โครงสร้า งชั้นบน/ผู้ปกครอง มี ดุลยภาพกันทางด้านคุณภาพ โดย ผู้ถูกปกครอง ต้องมี "๑ชุดความคิด" ที่จะทำให้เท่าทัน ผู้ปกครอง และ ต้องมี "กฎกติกา/ มาตรการรูปธรรม" ที่จะทำให้ ผู้ปกครอง มีพฤติกรรมอยู่ในครรลองครองธรรม
ช่วงวัยทำงาน : [เกษตรกรรม/หัตถกรรม/ อุตสาหกรรม/ ฯลฯ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในชุมชน]
เมื่อผ่านพ้นช่วงวัยเรียนมา แล้วก็จะเข้าสู่วัยทำงาน วัยทำงานที่มีสิทธิและหน้าท ี่ต่อรัฐ-สังคม เป็น "พลเมือง" แห่งรัฐนั้นๆ เต็มตัว มีหน้าที่ต้องทำงานและเสียภ าษีให้รัฐ และมีสิทธิที่จะต้องได้ "สิทธิประโยชน์จากรัฐ" โดยในรัฐหนึ่ง ๆ ต้องการพลเมืองที่จะออกไปทำ หน้าที่ ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ พลเมืองส่วนหนึ่งจะต้องไปเป ็น "ชนชั้นปกครอง"/ นักการเมือง พลเมืองอีกส่วนหนึ่งจะต้องไปเป็ น ผู้ทำการผลิตและให้บริการ
พลเมืองส่วนที่จะไปเป็น กลุ่มชนชั้นปกครอง/ นักการเมือง อยู่ในกลไกโครงสร้างส่วนบน ไล่จากระดับชุมชนไปจนถึงระด ับประเทศ>>> ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายก อบจ.,สจ. นายก อบต. / สมาชิกสภาตำบน-สต(?) นายกเทศบาล,สท .... สส. สว รัฐบาล พรรคการเมือง นัีกการเมือง องค์กรอิสระต่างๆ ผุ้นำชุมชน-ผู้นำกลุ่มพลังต่า งๆ อาทิกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน กลุ่มอาชีพ ฯลฯ พวกโครงสร้างส่วนบน/ กลุ่มชนชั้นปกครอง-นักการเมื องนี้ จะเกี่ยวกับการจัดสรรงบประม าณและทรัพยากรและโภคทรัพย์ข องรัฐ-สังคมและนโยบายสาธารณ ะต่างๆ ตลอดจนกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ พลเมืองส่วนนี้ต้องการความร ู้ทางด้านอุดมการณ์ชาติ-รัฐ และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถ ึงความมั่นคงแห่งชาติ-รัฐขอ งตน ขณะเดียวกันก้ต้องมีความรู้ ความเข้าใจลักษณะของพลเมือง ส่วนที่ทำการผลิตและให้บริก ารทุกกลุ่มด้วย เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่จัดส รรงบประมาณและโภคทรัพย์ต่าง ๆ ของรัฐ-สังคม ให้แต่ละกลุ่มได้อย่างทั่วถ ึงเป้นธรรมและสนองตอบต่อควา มต้องการจำเป้นของประชากร-พ ลเมืองแต่ละกลุ่ม ผ่านนโยบายสาธารณะต่างๆ ตลอดจนกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ
พลเมืองส่วนที่ทำการผลิตและ ให้บริการ ที่จะต้องเขาสู่ทั้ง ภาครัฐ/ ภาคเอกชน พลเมืองส่วนนี้ ต้องการความรู้ทางด้านเทคนิคและความ ชำนาญการและความเป้นมืออาชี พทั้งเทคนิคในการผลิตการบริ หารกกระบวนการผลิตและขบวนกา รผลิต ขณะเดียวกันก้ต้องมีความเข้ าใจในโครงสร้างส่วนบนที่ครอ บทับตนเองและทั่วทั้งสังคมอ ยู่ ต้องเข้าใจบทบาททั้งที่เป็น และควรจะเป็นของ พลเมืองส่วนเป็น กลุ่มชนชั้นปกครอง/ นักการเมือง อยู่ในกลไกโครงสร้างส่วนบน ( ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายก อบจ.,สจ. นายก อบต. / สมาชิกสภาตำบน-สต(?) นายกเทศบาล,สท .... สส. สว รัฐบาล พรรคการเมือง นัีกการเมือง องค์กรอิสระต่างๆ ผุ้นำชุมชน-ผู้นำกลุ่มพลังต่า งๆ อาทิกลุ่มแม่ย้าน กลุ่มเยาวชน กลุ่มอาชีพ ฯลฯ ) พวกโครงสร้างส่วนบน/ กลุ่มชนชั้นปกครอง-นักการเมื องนี้ เพื่อที่จะได้คงไว้หรือรังส รรค์ขึ้นได้ซึ่ง "สิทธิประโยชน์ของพลเมือง" ของตนทั้งสิทธิประโยชน์ส่วน ตนและสิทธิประโยชน์ส่วนรวมห รือโดยรวม โดยการเข้าใจบทบาทการทำหน้า ที่ในฐานะ "พลเมือง" ของตนที่จะต้องคอย "เลือก" และ "ตรวจสอบ" รวมทั้ง "ผลักดัน" พลเมืองที่เข้าไปทำหน้าที่เ ป็นชนชั้นปกครองอยู่ในโครงส ร้างส่วนบนให้ทำหน้าที่จัดส รรทรัพยากรผ่านการรังสรรกฎห มายและกฎระเบียบต่างๆ ให้ทั่วถึงเป็นธรรมและสุจริ ต
ช่วงวัยชรา(บั้นปลายของชีวิ ต) :[บ้านพิทักษ์คนชรา/ คนพิการ/เด็กสตรี/ ฯลฯในชุมชน]
มีความต้องการจำเป็น อยู่ ๒ ประการ ที่ทำให้ต้องมี "บ้านพิทักษ์" ประชากรกลุ่มต่างๆ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย ู่ในชุมชน
๑. เป็นครอบครัวเดี่ยวที่ไม่อา จจะแบกรับภาระ "ความต้องการจำเป็นพิเศษ" (special needs) ของ สมาชิกครอบครัวตามลำพังเพรา ะการที่ต้องดูแลตลอด ๒๔ ชม. ๓๖๕ วัน
เช่น โรคอัลไซด์เมอร์/ ความจำเสื่อมในวัยชรา น่าสงสารมากที่สามีภรรยาแม้ จะานะดีแต่ต้องออกไปทำงานนอ กนอกบ้านทั้งคู่มิหนำซ้ำยัง ลูกอยู่ในวัยเรียน แต่ต้องดูคนแก่ที่ไม่รู้จะเ ดินไปนอกบ้านเมื่อไหร่ อุจาระปัสสาวะไม่เป็นที่เป็ นทางอีกต่างหาก ไม่ต้องพูดถึงว่าจะจ้างพยาบ าลหรือคนดูแลคนชรา-ค่าใช่้จ ่ายเท่าไหร่? หรือในกรณีออทิสติกที่ต้องฝ ึกสอนกิจกรรมต่างๆ ไปด้วย หรือในกรณีอัมพฤกอัมพาต ฯลฯ
๒. ความจำเป็นทางด้านสหวิชาชีพ และการทำงานเป็นทีม
ดังที่ยกตัวอย่าง อาจต้องการทีมหลายสาขาอาชีพ มาทำงานร่วมกันทั้งนักพัฒนา สังคม นักฟื้นฟุบำบัดต่างๆ ด้านการแพทย์ นักการศึกษาครู เป็นอาทิ.....ซึ่งปัจเจกครอ บครัวระดับรากหญ้าไม่อาจจ้า งไหว ดังนั้นจึงต้องเป็นรัฐสวัสด ิการ ที่มีทีมบุคลากรทำงานในบ้าน พิทักษ์ชื่อคามกลุ่มประชกรเ ป้าหมาย เช่น บ้านพิทักษ์คนชราในชุมชน บ้านพิทักษ์สตรีและเยาวชนฉุ กเฉินในชุมชน บ้านพิทักษ์คนพิการทางด้านร ่างกายในชุมสชน บ้านพิทักษ์บุคคลออทิสติกใน ชุมชน ฯลฯ
นั่นหมายถึงว่าต่อไป ประชากรกลุ่มต่างๆที่ช่วยเห ลือตัวเองไม่ได้ จะมี ๒ บ้านอยู่ในชุมชน อันเป็นภูมิลำเนาของตนเอง คือ บ้านของครอบครัวเครือญาติหร ือบ้านของตัวเองบ้านหนุึ่ง กับบ้านพิทักษ์ฯ ซึ่งเป็นบ้านของส่วนรวมอีกบ ้านหนึ่ง ที่จะมีทีมบุคลากรดูแลอภิบา ลหากอยู่ในขั้นช่วยเหลือตัว เองไม่ได้เลย หรือฝีกอาชีพเทรนนิ่งด้านต่ างหากยังช่วยเหลือตัวเองพอไ ด้ถึงได้
ปัญหาคือ ทำอย่างไรให้เป็นรัฐสวัสดิก ารทั้งหมด ให้เป็นการเรียนฟรีทุกระดับ ทุกค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าใช้ จ่ายรายเดือนของประชากรในวั ยศึกษาเล่าเรียน ตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงอาชีวศึก ษาและอุดมศึกษา
สิ่งที่ต้องคิดและพิจารณา คือ สมดุลระบบนิเวศด้านประชากรใ นวัยทำงานของประเทศหลังจากพ ้นช่วงวัยศึกษาเล่าเรียนอย่ างเป็นทางการทั้งในระบบ นอกระบบ และที่จะต้องออกมาเป็นการศึ กษาตลอดชีวิตและหรือการศึกษ าตามอัธยาศรัยแล้วได้ดุยภาพหรื อไม่
แรงงานสมอง(นักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ผู้เชี่ยวชาญชำนาญการ เทคนิคเชี่ยน วิชาชีพเฉพาะ ฯลฯ) แรงงานฝีมือ แรงงานไร้ฝีมือ มีสัดส่วนที่ยังให้การพัฒนา ประเทศให้ยืนบนขาของตัวเองใ นภาคการผลิตจริง มีความเป็นไปได้แค่ไหน? ที่พูดถึงศักยภาพในด้าน "พลังการผลิต" ในส่วนที่เป็นทรัพยากรมนุษย ์ของประเทศ
หากพิจารณาศักยภาพทางด้านกา รเมืองการปกครองซึ่งเป็นส่ว นของการบริหารจัดการโภคทรัพ ย์ของประเทศในระบบการ "เลือกตั้ง" เพื่อให้ได้ตัวแทนเข้าไปบริ หารจัดการประเทศในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ในระดับชุมชน(องค์กา รปกครองส่วนท้องถิ่น สท. สจ.) ไปจนถึงระดับประเทศ (สส. สว.) พบว่า ระหว่าง ผู้ถูกเลือกและผู้เลือก ศักยภาพทางความคิดการเมืองก ารปกครองห่างไกลกันมาก ระดับการศึกษาต่างกันมาก จึงไม่เท่าทันกันทำให้การบร ิหารจัดการประเทศเป็นไปอย่า งไม่ได้ดุลยภาพ ในการจัดสรรทรัพยากรและโภคท รัพย์ของประเทศในระหว่างประ ชากรกลุ่มต่างๆ ก่อเกิด กลุ่มประชากรที่กัดกร่อนประ เทศ ที่เรียกว่า นักการเมืองทุนนายหน้าสามาน ย์ นั่นคือ สมดุลระบบนิเวศทางด้านการเม ืองการปกครองไม่ได้ดุลยภาพ- (จะแก้อย่างไร?)
นั่นเป็นการพิจารณาในมิติ "ผู้เลือก" และ "ผู้ถูกเลือก"
และ พลโท วิวัฒน์ วิสนุวิมล พร้อม นักวิชาการทุกแขนง
ช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัย
@ [โรงพยาบาลในชุมชน สถานอนุบาลเด็กอ่อนในชุมชน โรงเรียนอนุบาล/
*โรงพยาบาลในชุมชน; ใช้บัตรทองได้แต่มีปัญหายาน
*สถานอนุบาลเด็กอ่อนในชุมชน
*โรงเรียอนุบาลในชุมชน;ส่วน
*โรงเรียนทุกระดับสำหรับประ
*มหาวิทยาลัย/
**การต้อง "จ่าย" ดังกล่าวนี้ หากไม่มี "จ่าย" ย่อมมีผลต่อการเข้าไม่ถึงกา
*@ ประเด็น คือ ในการเข้าถึงการศึกษาทุกระด
*@สิ่งสำคัญที่ต้องคิดและพิ
*@@ดุลยภาพประชากรทางด้านเศ
แรงงานสมอง(นักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ผู้เชี่ยวชาญชำนาญการ เทคนิคเชี่ยน วิชาชีพเฉพาะ ฯลฯ) แรงงานฝีมือ แรงงานไร้ฝีมือ มีสัดส่วนที่ยังให้การพัฒนา
*@ ประเด็น คือ "องค์ความรู้จริง" แขนงต่างๆ ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้เ
*@@ดุลยภาพประชากรทางด้านกา
หากพิจารณาศักยภาพทางด้านกา
*@ ประเด็น คือ ต้องให้ "ผู้เลือก"/
ช่วงวัยทำงาน : [เกษตรกรรม/หัตถกรรม/
เมื่อผ่านพ้นช่วงวัยเรียนมา
พลเมืองส่วนที่จะไปเป็น กลุ่มชนชั้นปกครอง/
พลเมืองส่วนที่ทำการผลิตและ
ช่วงวัยชรา(บั้นปลายของชีวิ
มีความต้องการจำเป็น อยู่ ๒ ประการ ที่ทำให้ต้องมี "บ้านพิทักษ์" ประชากรกลุ่มต่างๆ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย
๑. เป็นครอบครัวเดี่ยวที่ไม่อา
เช่น โรคอัลไซด์เมอร์/
๒. ความจำเป็นทางด้านสหวิชาชีพ
ดังที่ยกตัวอย่าง อาจต้องการทีมหลายสาขาอาชีพ
นั่นหมายถึงว่าต่อไป ประชากรกลุ่มต่างๆที่ช่วยเห
ปัญหาคือ ทำอย่างไรให้เป็นรัฐสวัสดิก
สิ่งที่ต้องคิดและพิจารณา คือ สมดุลระบบนิเวศด้านประชากรใ
แรงงานสมอง(นักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ผู้เชี่ยวชาญชำนาญการ เทคนิคเชี่ยน วิชาชีพเฉพาะ ฯลฯ) แรงงานฝีมือ แรงงานไร้ฝีมือ มีสัดส่วนที่ยังให้การพัฒนา
หากพิจารณาศักยภาพทางด้านกา
นั่นเป็นการพิจารณาในมิติ "ผู้เลือก" และ "ผู้ถูกเลือก"