วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไทย อยากสงบ ไม่ใช่สยบด้วยปรองดอง อย่างเดียว(อินทรีย์เมฆาเรียบเรียง)


แนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในอนาคต 
ว่าด้วย เรื่องวิถีแห่งการสร้างความสงบอันเกี่ยวเนื่องกับสังคมไทย 
สัมคมไทยเริ่มต้นขัดแย้งแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจนมาแล้วตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2549

    ที่ผ่านมา และสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ก็คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง และจุดจบอย่างสันติสุขของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมา ประชาชนมากมายในประเทศต่างหยิบยกเอาเรื่องราวการทะเลาะเบาะแว้งภายในทางการเมืองของบรรดานักการเมืองโดยเฉพาะเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ที่มีทั้งที่ประชาชนชอบและไม่ชอบ เมื่อนักการเมืองเกิดขัดแย้งกันขึ้นมาทันใด นักการเมืองที่เสียเปรียบและได้เปรียบ ประชาชนก็จะก่อกลุ่มกันแสดงความไม่พอใจหรือโต้เถียงกัน อันจะนำไปสู่หนทางแห่งการแบ่งพวก ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดจากการที่ประชาชนขาดความเข้าใจหรือหลงลืมไปว่า สิ่งเหล่านี้นั้น อันเป็นการกระทำของนักการเมือง ย่อมเป็นเพียง เกมส์ทางการเมืองที่ดำรงค์อยู่ในกฏกติกา เป็นที่รู้ดีของเหล่าผู้เล่นการเมือง ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกันภายในสภานั้นเอง แต่ที่ผ่านมาประชาชนต่างพากันถืออคติ โกรธแค้นแทนนักการเมือง จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังคมส่งผลกระทบตามมาหลายประการ ดังที่ปรากฎเด่นชัดคือแตกสามัคคี ไร้ความสงบ ไม่มีความประนีประนอมเหมือนในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อกลับมาคนึงคิดถึงแนวทางการให้กำเนิดวิถีแห่งความสงบร่มเย็นของชาติในวันนี้ จึงไม่สามารถที่จะมีวิธีใดที่ดีไปกว่า การให้การยอมรับฟังแนวทางของแต่ละฝ่าย ซึ่งต้องพยายามสร้างความพร้อมใจกันนำแนวคิดนั้นๆมาผนวก ปรับปรุง โดยที่ไม่ให้สถาบันสำคัญใดๆของชาติต้องยกเลิกหรือเสียหาย ทั้งรักษาให้คงอยู่บนความเหมาะสมที่ทุกๆฝ่ายเต็มใจยอมรับโดยดีร่วมกัน กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงที่ยังธำรงค์รักษาซึ่งสิ่งสำคัญไว้อย่างเหมาะสม และรับเอาการเปลี่ยนแปลงที่พอเหมาะ จำเป็นที่สุดอย่างแท้จริงเข้าผสมผสานเพื่อให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาติที่ใครๆก็ยอม และ เพื่อยังประโยชน์สุขสู่มหาชนคนส่วนรวม เป็นการลดความขัดแย้งด้วยในขณะเดียวกัน โดยเฉพาะการเริ่มต้นด้วยฝ่ายบริหารประเทศซึ่งเป็นศูนย์กลางในบริหารจัดการบ้านเมืองดึงเอาสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ทุกๆแขนง สร้างสื่อประชาสัมพันธ์ รณรงค์ ขัดเกลาจิตใจและแถลงไขถึงแนวทาง ข้อดี ข้อเสีย ของประโยชน์และปัญหา เพื่อเสริมสร้างความรู้ ทำความเข้าใจแก่ประชาชน ในวิธีการปฎิบัติเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคม และเนื่องจากเป็นช่องทางที่ประชาชนทั่วประเทศส่วนมากยังเข้าถึงง่ายที่สุดอีกด้วย รวมไปถึงการระดมความคิดในการจัดกิจกรรมเพื่อลดความขัดแย้งของคนชาติ โดยให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างกว้างขวาง ทุกชนชั้น มีสิทธิในการแสดงความคิด ที่รัฐต้องพร้อมยอมรับ และอธิบายคำถามจากประชาชนได้ การพัฒนาหลักสูตรด้านวิชาอันเกี่ยวเนื่องกับระบอบการปกครอง การเพิ่มพูนความรู้ที่เกี่ยวกับวิถีแห่งการเมืองไทย ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นใด เพราะถ้าหากมีการจัดการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะช่วยให้เยาวชนไทย เข้าใจในกฎกติกาการเมืองภายในสภาและนอกสภามากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถเป็นตัวช่วยที่ดีต่อการลดภาวะความขัดแย้งที่เกิดจากการขาดความเข้าใจกระบบการเมือง การบริหารประเทศ เป็นต้น อย่างไรก็ตามแต่ถึงแม้ในวันนี้เอง ก็ยังหาข้อสรุปกระบรวนการแนวทางหรือจะกระทำ ก็ยังยากอยู่ เพราะประชาชนยังไม่ยอมฟังกัน ต่างระหวาดระแวงกันอยู่ ใครคิดจะทำอะไรก็มีแต่จะหาเรื่องขัดแย้งกัน ความบาดหมางฝักรากลงลึก แม้นสถาบันอันเคารพสักการะก็ดึงรั้งจิตใจไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะเรื่องของมาตรากฎหมาย 112 ซึ่งเป็นผลพลอยถูกกระทบ มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งของประชาชนเรื่องการเมืองที่ทวีความรุนแรงจนบานปลายดึงเอาสถาบันหลักของชาติที่ไม่เกี่ยวข้องหลายสถาบันมาปลุกระดมสร้างข่าวลือผิดๆไร้หลักฐานความเป็นจริง เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเอง เท่านั้นที่เห็นแก่ตัว มัวโลภครอบงำ คิดทำลายผู้อื่นหนีความซวย อย่างไรก็ตามมีสาเหตุเหมือนดังที่พูดขึ้นต้นเอาไว้แล้วว่า ประชาชนโดยมากยังขาดความเข้าใจวิถีแห่งการเมืองไทย ยังขาดความเข้าใจในระบอบการบริหารการปกครองของไทยอย่างทั่วถึงในกลุ่มคนทั่วประเทศ และไม่เข้าใจหรือมองข้ามกฏกติกาและเกมส์ทางการเมืองที่ทั่วโลกภายในสภาต่างก็มีวัฏจักรเช่นนี้เหมือนกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องภายในรัฐสภา เป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่จะต้องรับผิดชอบกันเอง มิใช่หน้าที่ของประชาชนที่จะต้องออกมาเรียกร้อง ชุมนุมด้วยเหตุอันเกิดจากอารมณ์ความรู้สึกไม่พอใจแทนนักการเมือง จนก่อให้เกิดการชุมนุมแบ่งพวกของประชาชนที่เข้าข้างนักการเมือง เกิดการชุมนุมฝ่ายตรงข้าม ออกมาโต้แย้งของกัน ทะเลาะกันโดยหาสาระไม่มี ขาดความเป็นสากลอันหมายถึงวิถีแห่งการเจรจา??ثลักการที่ถูกต้องสงบสุข ไม่ประกอบด้วยแรงอาฆาต ริษยาเบียดเบียน เข้าข้างลำเอียง แท้ที่จริงแล้วควรเป็นกลางยอมรับฟังทุกๆฝ่ายแล้วปรับข้อตกลงทำความเข้าใจ แล้วคิดวิเคราะห์ พิจารณาหาแนวทางเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างลงตัว ให้เกียรติแก่กันดีที่สุด

เป็น ทหาร ดีกว่า ไม่เคยเป็น ทหาร(อินทรีย์เมฆาเรียบเรียง)



     เมื่อพูดถึง คำถามที่ถามว่า " ได้อะไรบ้างจากการเป็นทหาร"คำตอบ ที่ต้องการนั้นคงไม่ได้หมายถึง ได้ คอมแบท ได้ชุดพราง ได้ตัดหญ้า คงไม่ใช่คำตอบที่ดูจะเป็นสาระ ก็คงหมายถึง การได้รับความนึกคิด ใคร่่ควรอันเป็นผู้ใหญ่เพิ่มมากขึ้น จากที่มีใจเร้าร้อน ก็กลับกลายเป็นคนรู้จักบังคับอารมณ์ร้อนนั้นได้ นอกจากนี้ คุณเองจะได้เรียนรู้ด้วยความสำคัญในหน้าที่ซึ่งตนจะต้องรับผิดชอบ ที่สามารถช่วยก่อให้เกิดสมาธิและความใส่ใจแก่สิ่งที่กระทำอยู่ พร้อมด้วยช่วยให้ตนได้เข้าใจถึงนัยยะของคำว่า สามัคคีเป็นหมู่เหล่า ย่อมก่อให้เกิดความสำเร็จพร้อมเพรียง ที่สำคัญ ความรัก ความเห็นอกเห็นใจผองเพื่อน ก็ปรากฎตามมาด้วยนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่หมายถึง " สิ่งที่ได้รับ จากการเป็นทหาร " " เป็น "ทหาร" ได้อะไร
มากว่า "ที่คิด" จริงหรือไม่?
 


วันแรก เมื่อคุณก้าวเข้าไปสู่รั่วกองทัพ สิ่งแรกที่คุณต้องสัมผัสก็คืิออารมณ์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกหวาดหวั่นต่ออนาคตของคุณที่นี้ ว่าคุณจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรในนี้ อย่างไรก็ตามมันคือจุดแรกแห่งบททดสอบจิตใจถึงความแข็งแกร่ง ว่าคุณจะเป็นลูกผู้ชายที่มีความอ่อนไหว มาก น้อย แค่ไหนต่อสิ่งที่คุณได้ประสบ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีอย่างหนึ่งในการเสริมสร้างจิตวิญญาณของนักสู้ภายในจิตใจคุณ ที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคน้อยใหญ่ในชีวิตได้อย่างไม่ย่อท้อ ทีนี้พูดถึงสิ่งที่ได้รับจากการฝึกภายในสามเดือน นั่นหมายถึงความเปลี่ยนแปลงทางวินัยของนิสัยในการดำรงค์ชีวิต กินเป็นเวลา นอนเป็นเวลา อาบน้ำเป็นเวลา ซึ่งช่วยทำให้คุณเข้าใจและยอมรับถึงความจำเป็นของหน้าที่ ความสำคัญของเวลา มากยิ่งขึ้น และคือสิ่งที่จะต้องกระทำสม่ำเสมอทุกๆวันอันจะช่วยให้อนาคตของคุณราบรื่น เมื่อคุณนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไปอยู่มิขาด ทั้งยังจะเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่ลูกหลานอีกด้วย ตู้เตียงจัดเป็นระเบียบ แม้แต่ข้าวของใช้ส่วนตัวก็แป๊ะ ต้องรักสะอาดมากขึ้น ปัดกวาด เช็ดถู ทุดวัน เช้า ค่ำ รู้บ้างหรือไม่จุด จุดนี้ คือส่วนสำคัญในการเสริมสร้าง สมาธิ ให้กับคุณได้เป็นอย่างดี เมื่อมีความจดจ่อ ตั้งใจในสิ่งที่กระทำ ก็ย่อมบังเกิดผลสำเร็จเรียบร้อย ปราศจากการแก้ไขในภายหลัง " สมาธิ " นั้นมีบทบาทสำคัญมากในการดำรงค์ชีวิต เพราะสมาธิคือบ่เกิดแห่งสติปัญญา อันก่อให้เกิดความก้าวหน้า ซึ่งอีกมุมหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เด็กๆสมัยใหม่ ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการทำความสอาดดูแลบ้าน อันมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างปัจจัยดังกล่าวด้วยอย่างยิ่ง และเหตุผลที่เด้กไม่เอาใจใส่เรื่องนี้ คงต้องย้อนกลับมาเตือนผู้ใหญ่อีกครั้ง ให้อย่าลืมว่า แม้ เด้กคืออนาคตของชาติ แต่ทว่า ผู้ใหญ่เอง ก็คือ อนาคตของเด้ก ถ้าผู้ใหญ่เป็นยังไง เด็กก็คงเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เรื่องนี้อย่าลืมอีกว่ามีผลกระทบต่อสภาพสังคมส่วนใหญ่ด้วย เมื่อเพื่อนผิด เราก็ผิดด้วย เมื่อผิดหนึ่ง ก็ต้องรับโทษร่วมกันทั้งหมด แม้มิได้เป็นผู้ก่อ ตรงนี้ค่อนข้างกินใจมาก เพราะนั้นหมายถึง ความสามัคคี ในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างความกระตือรือล้นภายในหมู่คณะ ว่าเราจะต้องไปด้วยกันได้ทั้งหมดอย่างพร้อมเพรียงและเต็มใจ ถึงแม้ว่าอาจจะเต็มไปด้วยความกดดัน แต่ก็เป็นความกัดดันที่จะก่อประโยชน์ ก่อให้เกิดการพัฒนาไปในทางที่ดี ไม่ทิ้งใครคนใด คนหนึ่งไว้ข้างหลัง มันคือความเอื้อเฟื้อ ไม่มีการแบ่งแยก มันคือความสามัคคี ที่ไม่มีใครชิงเด่น เห็นแก่ตัว ซาบซึ้งถึงคำว่า เพื่อน ลึกซึ้งในความเป็น ลูกผู้ชายชาตรี การเป็นสุภาพบุรุษ ที่คุณเคยได้ยินมาตั้งแต่ยังเล็กๆเป็นยังไง คำตอบอยู่ที่นี้ คำว่า " ทหาร "  

( โทษการหลีกเลี่ยง เกณฑ์ทหาร และ พฤติกรรมอันต่ำขาดจรรยา) แม้ว่าจะเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่มีขบวนการทำการสนับสนุนให้ผู้เป็นทหารกองเกินหลบเลี่ยงการรับราชการทหารกันอย่างแพร่หลาย โดยสัสดีอำเภอเป็นตัวการสำคัญ โดยมีวิธีการต่างๆ ดังนี้ การปลอมใบรับรองผลการตรวจเลือก สด. ๔๓ การให้ระบุในใบตรวจร่างกายว่าเป็น
มีความผิดปกติทางร่างกาย (ดี 1 ประเภท 2) จึงไม่ต้องไปจับใบดำใบแดง การย้ายสำมะโนครัวและภูมิลำเนาทหาร ไปยังอำเภอที่มีคนสมัครเป็นทหารเต็มแล้ว

 สำหรับวิธีการตามข้อ 1 นั้น จะไม่ปรากฏต้นขั้วที่กระทรวงกลาโหม เมื่อมีการตรวจสอบก็จะพบว่าบุคคลนั้นหนีทหารและถูกดำเนินคดีได้

ส่วนวิธีการในข้อ 2-3 เป็นการใช้ช่องว่างของกฎหมายและข้อมูลภายในที่สัสดีมีอยู่ ผู้ผ่านการตรวจเลือกจะได้รับใบตรวจเลือกของจริง ถูกต้องตามกฎหมาย ตามข่าวที่ปรากฏในปี พ.ศ. 2547พบว่าสัสดีเรียกรับเงินจากผู้ไม่ต้องการรับราชการทหารเป็นหลักพันบาทสำหรับวิธีการในข้อ 1 และหลักหมื่นบาทสำหรับวิธี

การในข้อ 2-3 นอกจากนี้ยังมีผู้ที่หลบหนีไม่เข้ารับการตรวจเลือกซึ่งมักจะถูกสัสดีแจ้งความดำเนินคดี ผู้ที่หลบหนีนั้นต้องรอให้พ้นจากอายุที่ต้องรับราชการทหารคือ 30 ปีและรอให้คดีความหมดอายุความก่อนจึงจะกลับมาปรากฏตัวต่อสาธารณชนได้ มิฉะนั้นอาจถูกจับกุมและดำเนินคดีได้ อายุความในดคีหนีทหารทั่วไปมีกำหนด 10 ปี การทำร้ายร่างกายตัวเองหรือผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องรับราชการทหารมีระวางโทษจำคุกหนึ่งปีถึงแปดปี เป็นโทษที่หนักที่สุดในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร และเป็นโทษเดียวในพระราชบัญญัตินี้ที่มีอายุความถึง 15 ปี ทหารกองเกินซึ่งถูกเรียกต้องมาให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือกตามกำหนดหมายนั้น ในวันตรวจเลือกนั้นนอกจากหลักฐานทางทหารและบัตรประจำตัวประชาชนแล้วให้นำหลักฐานการศึกษามาแสดงด้วย ผู้ใดหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือกหรือมาแต่ไม่อยู่จนกว่าการตรวจเลือกแล้วเสร็จเพื่อรับหลักฐานใบรับรองผลการตรวจเลือก (สด. ๔๓) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี ผู้กระทำความผิดตามข้อนี้นี่เองที่มักเรียกกันว่า หนีทหาร  

( การเกณฑ์ทหารของราชอาณาจักรไทย ) ชายที่มีสัญชาติไทย เมื่ออายุย่างเข้า 18 ปี บริบูรณ์ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินภายในพุทธศักราชนั้น ที่อำเภอท้องที่ที่มีภูมิลำเนาอยู่โดยจะได้รับใบสำคัญ สด. ๙ เมื่อลงบัญชี ณ อำเภอใดแล้ว อำเภอนั้นจะเป็นภูมิลำเนาทหารของทหารกองเกินผู้นั้น ภูมิลำเนาทหารเป็นภูมิลำเนาเฉพาะไม่เกี่ยวข้องกับทะเบียนบ้านหรือสำมะโนครัว การจะย้ายภูมิลำเนาทหารต้องกระทำที่อำเภอแยกต่างหากจากการย้ายภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร์ ทหารกองเกินที่ย้ายทะเบียนราษฎร์จะย้ายภูมิลำเนาทหารด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่มีหน้าที่แจ้งต่อนายอำเภอทุกครั้งที่ไปอยู่ต่างถิ่งเป็นเวลาเกินกว่า 30 วัน หากไม่แจ้งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินสองร้อยบาท ภูมิลำเนาทหารมีความสำคัญต่อทหารกองเกินอย่างมากเพราะเป็นสถานที่ที่ทหารกองเกินต้องไปรับการตรวจเลือก ในแต่ละท้องที่ก็มีจำนวนทหารกองเกินและความต้องการของฝ่ายทหารที่กำหนดมาต่างกัน การอยู่ในภูมิลำเนาทหารที่ต่างกันจึงมีผลต่อการตรวจเลือกเข้ารับกองประจำการ และเป็นช่องทางให้มีผู้หลีกเลี่ยงการเป็นทหารใช้หลบเลี่ยงไปได้ ทหารกองเกินเมื่อมีอายุย่างเข้า 21 ปี ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกที่อำเภอท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาทหารของตนภายในพุทธศักราชนั้น โดยจะได้รับหมายเรียก สด. ๓๕ ทหารกองเกินซึ่งจะถูกเรียกมาตรวจคัดเลือก เพื่อเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการนั้น ต้องมีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ขึ้นบัญชีทหารกองเกินหรือไม่มารับหมายเรียกต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าก่อนที่เจ้าหน้าที่ยกเรื่องขึ้นพิจารณาความผิด ผู้นั้นได้มาขอลงบัญชีทหารกองเกิน หรือ มารับหมายเรียกแล้ว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จหลักสูตรชั้นปีที่ 3 แล้ว ให้ขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้วปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 โดยไม่ต้องเข้ารับราชการกองประจำการ ได้รับหนังสือสำคัญ สด. ๘ พร้อมกับสมุดประจำตัวทหารกองหนุน ทั้งนี้เนื่องจากมิได้มีสถานะทหารกองเกินแล้วจึงไม่ต้องรับหมายเรียกและไม่ต้องไปรับการตรวจเลือก แต่อาจถูกเรียกพลในฐานะทหารกองหนุนได้ ซึ่งการเรียกพลนี้มิได้เรียกทุกคน ผู้มาเข้ารับการตรวจเลือก หากไม่สามารถใช้สิทธิ์ผ่อนผัน จะถูกกรรมการตรวจเลือกแบ่งออกเป็น 4 จำพวก ได้แก่ คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ดี ไม่สมบูรณ์ดีแต่ไม่ถึงกับทุพพลภาพ คนที่ไม่แข็งแรงพอที่จะรับราชการทหารในขณะนั้นได้ เพราะป่วยและไม่สามารถรักษาให้หายได้ใน 30 วัน พิการ ทุพพลภาพ หรือ มีโรคที่ไม่สามารถรับราชการทหารได้ ตามกฎกระทรวงดังกล่าวบุคคลที่จะรับราชการทหารได้ต้องมีขนาดรอบตัว 76 เซนติเมตรขึ้นไปเวลาหายใจออก และสูงตั้งแต่ 146 เซนติเมตรขึ้นไป แต่ทางทหารจะได้ประกาศอีกครั้งในแต่ละปี ว่าจะคัดบุคคลที่มีขนาดใดขึ้นไป ซึ่งมักจะสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ในช่วงระยะเวลานั้นชายไทยที่อยู่ในอายุเกณฑ์ทหารอาจยังมิได้มีขนาดร่างกายเช่นในปัจจุบัน วิธีการคัดเลือกจะเลือกจากคนจำพวกที่ 1 ก่อน หากคนจำพวกที่ 1 ไม่พอให้เลือกจากคนจำพวกที่ 2 ด้วย หากคนจำพวกที่ 2 ไม่พอให้นำคนที่ผ่อนผันอยู่มาคัดเลือกด้วยตามขั้นตอนข้างต้น (แบ่งเป็น 4) จำพวก หากมีคนเกินกว่าจำนวนที่ทางทหารต้องการให้จับสลาก โดยแบ่งออกเป็บใบดำและใบแดงซึ่งเขียนแผนกของกองประจำการไว้ เป็นที่มาของการจับใบดำใบแดง ผู้จับได้ใบแดงต้องเข้ารับราชการทหารในกองประจำการ โดยจะได้หมายนัดเข้ารับราชการทหาร (สด. ๔๐) คนจำพวกที่ 3 และ 4 ในการตรวจเลือกจะไม่ถูกส่งตัวเข้ากองประจำการ คนจำพวกที่ 3 ให้มาตรวจเลือกในคราวถัดไป เมื่อคณะกรรมการตรวจเลือกแล้วยังเป็นคนจำพวกที่ 3 อยู่ 3 ครั้งให้งดเรียก คนจำพวกที่ 3 เมื่อมาตรวจเลือกจะได้ใบสำคัญสำหรับคนจำพวกที่ 3 (สด. ๔) ส่วนคนจำพวกที่ 4 ได้รับใบสำคัญสำหรับคนจำพวกที่ 4 (สด. ๕) บุคคลที่ไม่ใช้สิทธิ์ผ่อนผัน ผ่านการตรวจเลือกแล้ว และผลการตรวจเลือกถึงที่สุดแล้วไม่ต้องเข้ารับราชการกองประจำการไม่ต้องรับหมายเรียกและไม่ต้องมาตรวจเลือกอีกในปีต่อไป ส่วนผู้ที่ผ่อนผันอยู่ต้องมาตรวจเลือกทุกปีจนกว่าอายุจะครบ 30 ปี ทุกคนต้องได้รับใบรับรองผลการตรวจเลือก สด. ๔๓ ในวันตรวจเลือกจากกรรมการตรวจเลือกเท่านั้น หากได้รับในวันอื่นหรือจากบุคคลอื่นให้สันนิษฐานว่าเป็นของปลอม ผู้นำไปใช้มีความผิดตามกฎหมาย และถือว่าผู้นั้นไม่ได้มาเข้ารับการตรวจเลือกอย่างถูกต้อง

ระหว่าง พระอินทร์ กับ พระพรหม (อินทรีย์เมฆารวบรวม)




  เหมือนคนรวยกับคนจน เราไม่สามารถตอบได้ทันทีว่าใครเก่งกว่าใคร จนกว่าจะยกข้อข้อขึ้นมาเปรียบเทียบให้ชัดเจน
  แต่ถ้าพูดถึงว่าอันไหนดีกว่า ก็ต้องตอบว่า พรหมดีกว่าเทวดา เพราะอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า ละเอียดกว่า มีความเป็นทิพย์มากกว่า มีความสุขมากกว่า มีอายุยืนยาวกว่า แม้แต่เมื่อเกิดไฟประลัยกัลป์ล้างโลก โลกของเทวดาก็ถูกเผาจนสิ้น แต่พรหมโลกจะโดนแค่บางส่วน คนที่ไปเกิดเป็นเทวดาเพราะสมัยเกิดเป็นมนุษย์เป็นคนดี เคยทำบุญ ให้ทาน และรักษาศีล ส่วนคนที่เป็นพระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราช ต้องประพฤติวัตตบท ๗ ประการ เพิ่มขึ้นมาด้วยจึงมีโอกาสได้เป็น ส่วนการเป็นพระพรหม สมัยเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นคนดี ทำบุญ ให้ทาน และรักษาศีลเหมือนกัน แต่ที่มากกว่านั้นคือต้องภาวนาจนได้ฌาน ตายแล้วจึงจะได้เป็นพระพรหม จะเห็นได้ว่าการเป็นพระพรหมนั้นเริ่มต้นด้วยบุญที่มากกว่าการเป็นเทวดา การเกิดเป็นเทวดาจะมีทิพย์สมบัติโอฬารมาก เทวดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่งๆ มีวิมานหลังเล็กๆ ก็สูงแค่ ๑๒ โยชน์ มีสวนมีสระโบกขรณีส่วนตัว ซึ่งพระพรหมก็มี แต่ใหญ่กว่า สวยกว่า ประณีตกว่า พระอินทร์มีอายุขัย ๓๖ ล้านปีมนุษย์ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับพระพรหมชั้นต่ำสุดที่มีอายุ ๑ ใน ๓ กัป และยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับพระพรหมชั้นสูงสุดที่มีอายุ ๘๔,๐๐๐ กัป (๑ กัป คิดเป็นปีเท่ากับเลข ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว) พระอินทร์เหาะไปพรหมโลกไม่ได้เพราะบุญไม่ถึง
   ส่วนพระพรหมมาเที่ยวสวรรค์ได้ พระพรหมมองเห็นพระอินทร์ ส่วนพระอินทร์มองไม่เห็นพระพรหม เพราะพระพรหมมีกายละเอียดกว่ามาก เว้นแต่พระพรหมท่านจะทำกายให้หยาบจนพระอินทร์มองเห็นได้ พระอินทร์ยังต้องกิน แม้จะเป็นอาหารทิพย์แต่ก็ต้องกิน ส่วนพระพรหมไม่ต้องกิน ท่านอยู่ได้ด้วยปีติสุข พระอินทร์ยังต้องรบกับอสูรเป็นระยะๆ (เพราะไปแย่งสวรรค์เขามา) แต่พระพรหมไม่ต้องออกไปรบกับใคร ท่านมีพรหมวิหาร ๔ จึงไม่มีศัตรู นี่คือข้อแตกต่างระหว่างพระอินทร์กับพระพรหม มีรายละเอียดอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎกนะครับ ไม่ได้ยกมาจากศาสนาอื่นเลย
 

 ถือโอกาสขยายความข้อความที่เข้าใจผิดกันในคำตอบแรกๆ ด้วยเลยนะครับ ป่าหิมพานต์ไม่ได้อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๒ แต่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๑ ครับ
  ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขาสิเนรุ (หรือเขาพระสุเมรุ) อยู่ระดับพื้นปฐพี ส่วนดาวดึงส์อยู่บนยอดเขาสิเนรุ อยู่สูงขึ้นไป ๔๒,๐๐๐ โยชน์ 
  พระอินทร์เป็นเทพหรือเทวดา ส่วนพระพรหมก็เป็นเทพหรือเทวดา
  ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าพระพรหมเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา
  พระอินทร์ไม่ได้เป็นท้าวจตุโลกบาล
    ท้าวจตุโลกบาลมี ๔ องค์ เป็นมหาราชอยู่ในสวรรค์ชั้นแรกครับ มีพระนามว่า
๑. ท้าวธตรฐ เป็นมหาราชปกครองเทพนครทิศตะวันออกและพวกคนธรรพ์
๒. ท้าววิรุฬหก เป็นมหาราชปกครองเทพนครทิศใต้และพวกกุมภัณฑ์
 ๓. ท้าววิรูปักษ์ เป็นมหาราชปกครองเทพนครทิศตะวันตกและพวกนาค
 ๔. ท้าวเวสสุวัณณ์ เป็นมหาราชปกครองเทพนครทิศเหนือและพวกยักษ์
   ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ขึ้นตรงกับพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกทีหนึ่ง 
 และสุดท้าย พระพรหมไม่ได้เป็นผู้สร้างโลก พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อโลกถูกทำลายย่อยยับไปแล้วนานแสนนาน โลกก็ก่อกำเนิดขึ้นเป็นผืนน้ำ ยังไม่มีภูเขา ไม่มีต้นไม้ ไม่มีแผ่นดิน ไม่มีสัตว์โลก ต่อมาพระพรหมองค์หนึ่งก็หมดอายุ จุติจากพระพรหมมาอุบัติเป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง มีร่างเป็นทิพย์ มีวิมานในอากาศ ลอยไปลอยมาได้ เป็นมนุษย์ยุคแรกที่เกิดโดยการอุบัติ

ที่มาของการ สักยันต์ไทย สักยันต์คืออะไร? (อินทรีย์เมฆาเรียบเรียง)


 

                               การสักยันต์ นั้นหมายถึง การจารึกอักขระมนต์คาถา หรือพระธรรมคำสอนของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงบนผิวหนังตามร่างกาย โดยการใช้ของมีคม ลักษณะประหนึ่งเข็มด้ามยาวๆ จุ่มน้ำหมึก ซึ่งทำจากน้ำวานมงคล 108 ที่ผ่านการบริกรรมคาถาลงอาคมไว้ก่อนแล้วในขณะที่เคี่ยว การสักยันต์ นี้ สันธิฐานโดยคร่าวได้ว่า เกิดจากความคิดที่ต้องการจะนำเอาเครื่องรางของขลัง วัถตุมงคล ที่ใช้สำหรับพกติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคลนั้น มาดัดแปลงเพื่อให้ง่ายต่อการพกติดตัวมากยิ่งขึ้น จึงทำให้บังเกิดวิธีการนำเอาคาถาอาคมที่อยู่บนเครื่องลางของขลังนั้น มาจารึกลงผิวหนังบนร่างกายแทน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดความสะดวก คล่องแคล่วในการออกศึกสงครามได้ในสมัยโบราณกาล มีความสำคัญในการเสริมสร้างวัญและกำลังใจแก่นักรบ โดยผู้ให้การสักยันต์ในสมัยโบราณนั้น ส่วนมากเป็น พระภิกษุสงฆ์ ผู้เรืองอาคมเล่าเรียนมาทางนี้โดยเฉพาะ จนเกิดปาฏิหารย์สำแดงเดชให้เป็นที่ประจักษ์เชื่อถือในหมู่พุทธศาสนิกชน
 
  ด้านอิทธิพลของการสักยันต์ในไทยนี้ อาจได้อิทธิพลมาจากขอมโบราณอีกทีหนึ่ง
 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ขอม กำลังเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธช่วงนั้น และเป็นช่วงที่ไทยและขอมกำลัง
ทำศึกสงครามต่อกัน ในบริเวณดินแดนทางล้านนาไทย ซึ่งในแต่เก่าก่อนนั้นขอมเองก็นับถือบูชาภูติผี เทวดา เป็นหลักด้วยอยู่แล้ว
จึงทำให้มีความชำนาญในเรื่องการใช้คาถาอาคมต่างๆมากมายหลายประเภท ส่วนหนึ่งเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่เชื่อว่าผู้ที่ป่วยนั้น เป็นเพราะการถูกกระทำของภูตผี เข้าสิง เข้าแทรกเบียดแบน ในขณะที่เมื่อไทยและขอมยอมอ่อนน้อมต่อกัน อันเป็นช่วงที่ไทยเราเริ่มมีภาษาประจำชาติ จึงได้มีการดัดแปลงแลกเปลี่ยนวิชาอาคมแก่กันในหมู่ประชาชนผู้สนใจ ผสมผสานไปกับความเชื่อด้านศาสนา ได้อย่างลงตัว ได้รับการยอมรับในกลุ่มคนทุกชนชั้นตลอดเรื่อยมา อย่างไรก็ตามนี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้วิชาด้านนี้ ถูกแบ่งออกไปเป็นสองจำพวกใหญ่ๆคือ วิชาทางพุทธคุณ และ วิชาทางไสยดำ

  ทั้งนี้ เหตุผลของการสักยันต์ในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบันนี้ มีความเชื่อกันว่า เพื่อให้บังเกิดมีความ แคร้วคลาดปรอดภัยจากภยันต์อันตรายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความเชื่อว่า จะช่วยให้มีความคงกระพันชาตรี หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า มีพละกำลังมหาศาล เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อในหมู่นักรบโบราณที่กระทำกันมากด้วยเหตุผลของการศึกสงคราม สำหรับปัจจุบัน ยุคสมัยได้เปลี่ยนไป ศึกสงครามเหมือนอย่างสมัยก่อนนั้นไม่มีแล้ว ผู้สักยันต์ในปัจจุบันจึงมักนำไปใช้ในทางที่ผิดก็มาก
   ด้วยความเชื่อที่ผิดๆ ที่เชื่อว่าจะทำให้เกิดความคงกระพันชาตรี นี้เอง
จึงเป็นสาเหตุที่ก่อให้พฤติกรรมที่ไม่ดี กระทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย หรือเป็นนักเลงอันธพาลทำลายสังคม โดยมองข้ามไปว่า การสักยันต์ นั้น ก็เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการสักยันต์เหล่านี้
ปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำตัวเป็นคนดีของครอบครัว เป็นพลเมืองดีของชาติบ้านเมือง
  เหตุผลที่ยันต์ไม่สำแดงฤทธานุภาพ
(ช่วยเหลือเพื่อให้รอดปรอดภัย หรือฟันแทงไม่เข้า)
 (1) เป็นผู้ไม่อยู่ใน ธรรมะ
 (2) ไม่รักษา ศีล5 ให้ครบถ้วน อาทิ ห้ามทำลายชีวิต ห้ามเป็นขโมย ห้ามโกหก คดโกง ห้ามเจ้าชู้ แย่งรักผู้อื่น ห้ามดื่มเหล้า สุรา เสพยาเสพติด
 (3) ทำสิ่งผิดกฏหมายอยู่
 (4) กระทำตนเป็นนักเลง
 (5) ไม่สวดมนต์ ไหว้พระ เป็นประจำ
 (6) ไม่เจริญ สมถกรรมฐาน หรือการนั่งสมาธิ เป็นประจำ
 (7) ไม่มี ศิลธรรม จริยธรรม ที่ดี
 (8) เป็นคน ใจร้อน ใจเร็ว ไม่ค่อยทำบุญ
 (9) ไม่รักษาสัญญา สัจจะวาจา
 (10) ไม่สำนึกในบุญคุณ ครูบา บิดา มารดา และผู้มีพระคุณ

              ทั้งนี้โปรดอย่าลืมว่า วิชาอาคมเหล่านี้ ถือเป็นวิชาทรงคุณและโทษแก่ผู้รับไปรักษา ซึ่งเป็นคาถาวิชาอันเกิดจากบุคคลผู้ทรงศีล ทรงคุณธรรม อย่างเหล่าพระฤษีในอดีตกาล ที่ท่านได้มอบไว้เพื่อสร้างคนให้เป็นคนดี เพราะฉะนั้น การนำมาเพื่อใช้ในการทำลาย ประหัดประหารกัน ทำร้ายกันและกันนั้น ก็เปรียบประหนึ่งว่า คุณกำลังเอาวิชามงคลนี้ มาทำให้ตกต่ำดุจเดรัจฉาน เหมือนกับการนำมาดูถูกทำลายคำสั่งสอนของเหล่าพระฤษีและเกจิ อาจารย์ผู้มอบของดีไว้ให้แก่คุณ สุดท้ายก็อย่าหวังเลยว่า ของดีเหล่านี้จะช่วยคุณให้รอดพ้นจาก พยันตรายต่างๆนานา น้อยใหญ่ได้เลย """""""" ผลแห่งการกระทำ ย่อมก่อให้เกิดกรรม ดีและกรรมชั่ว หากทำชั่ว ก็ฉิบหายอยู่วันยังค่ำ ไม่ช้าก็เร็ว """""""" ไม่รู้ตัว

"พระโพธิสัตว์ คือ อะไร" (อินทรีย์เมฆาเรียบเรียง)






"พระโพธิสัตว์ นั้น คือ ชาวสรรค์ ชั้นสูงสุด โดยมากสถิย์อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต และสวรรค์ชั้นที่7
 ซึ่งเกิดจากดวงจิต ( สิ่งมีชีวิต1ชีวิต คือ จิตหนึ่งดวง )
ที่บำเพ็จความดีงามหลายประการ สะสมไว้หลายชาตินับไม่ถ้วน
จนกระทั้งบรรลุสัจธรรมแห่งชีวิตทั้งปวงได้หมดจดแต่ไม่ประสงค์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
หรือเป็นศาสดาแห่งศาสนา
 ด้วยมีความตั้งมั่นที่จะอยู่ช่วยเหลือสรรพชีวิตทั้งมวล นั้นเอง
ส่วนเรื่องของพระโพธิสัตว์นี้ อยากให้มองไปง่ายๆว่า ความจริงแล้วมีอยู่ในทุกๆศาสนา ศาสนาหนึ่งๆนั้นอาจมีนับร้อยๆพระองค์ ทั้งบุรุษและสตรี ที่มนุษย์เรานั้นรู้จักกัน มีไม่กี่พระองค์ถ้าเทียบรวมทั่วโลก
 ก็อาจยังไม่ถึงครึ่งจำนวน ที่มนุษย์เรารู้ เพราะบรรดาเทพเจ้าต่างๆจากหลายประเทศก็ถือเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยเช่นกัน อย่างพระเยซู นี้ ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์รวมอยู่ด้วย นอกจากนั้นในอีกจำนวนมากที่มนุษย์โลกไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ซึ่งไม่เคยมีระบุไว้ในจารึกใดๆในโลก ถึงพระนาม เลยก็มีครับ พระโพธิสัตว์ จึงยังมีอยู่มากที่ไม่เคยปรากฏตัวตนให้มนุษย์ได้รับรู้ ยกตัวอย่างเช่น พระศรีอารียเมตไตร ซึ่งขณะนี้ก็ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ก็พึงจะมาเป็นที่รู้จักของชาวพุทธมาได้ไม่นานนี้เอง อีกประการ
 พระโพธิสัตว์ 1 พระองค์ เมื่อทรงแบ่งภาคเป็นอีกเพศ หรือเป็นอีกพระองค์ ก็ย่อมไม่เรียกเป็นพระองค์เดียวกันอีกเลย เพราะแบ่งออกไปเป็นอีกดวงจิตหนึ่งแล้ว ย่อมมีความนึกคิด และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน

 
 " พระแม่โพธิสัตว์กวนอิม ทรงตั้งพระราชปณิธานถวายแด่ พระพุทธองค์ ว่า ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญความดีงามเพื่อบรรเทาทุกข์ยากแก่สรรพชีวิตทั้งหลาย เพื่อเป็นธรรมบูชาแด่พระพุทธองค์ผู้เจริญ " การเสียสละเวลาแห่งตนเองเพื่อมหาสรรพชีวิตทั้งหลายในจักวาล ย่อมเป็นการเสียสละเพื่ออุทิศบุญให้แด่ส่วนร่วมทั้งหลาย อันให้กำเนิดความสงบสุขต่อโลกทั้งมวล เหนื่อยยากเย็นเท่าใด ก็จะบำเพ็ญเพียรอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่งไปทั่ว แม้นเกิดเป็นเพียงมนุษย์โลกผู้หนึ่ง แต่ถ้าหมั่นสร้างความดีโปรดชีวิต
น้อยใหญ่ทั้งหลายด้วยความเมตตาอยู่เสมอ ก็ถือว่า มนุษย์ผู้นั้น คือ พระโพธิสัตว์ ที่มีอยู่จริงบนโลกธาตุ


 
 " พระศรีมหาอุมาโพธิสัตว์ฮินดู จอมเทวี ทรงเคยพระราชทานดำรัสว่า " พระพุทธองค์ ทรงแสดงธรรมให้แก่สรรพจิตทั้งหลาย ไว้ว่า ไม่มีใครที่จะสามารถอยู่เหนือกฏแห่งกรรมไปได้ แม้แต่ตัวแม่เองนี้ ก็เช่นกัน บาปไม่สามารถลบล้างลงไปได้ ทุกคนต้องได้รับในสิ่งที่ตนเองกระทำ มีเพียงบุญเท่านั้น ที่จะช่วยเรา " บุญติดตามเราไปทุกชาติฉันใด บาปก็ติดตามเราไปทุกชาติเช่นกันฉันนั้น

 บารมี 30 ทัศ บารมี หมายถึง การกระทำที่ประเสริฐ การกระทำที่ประกอบด้วยกุศลเจตนาคุณงามความดีที่ควรกระทำ คุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วย เหลือเกื้อกูลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงซึ่งโพธิญาณ บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ

คือ 1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ
 2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาสหมายถึงการถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป
3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล 8 ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข
4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาตคตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น
 5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะอาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ o สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น o ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว o ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น o อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง
6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
 7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้ 8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
 9. เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร เมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก
10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น

ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่ บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี, รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี, หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น

บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี
คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี, การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี ,การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี, มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี, หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน
 จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี , ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด
จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี, ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี, หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน
จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ

 อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ
ของพระนิตยโพธิสัตว์ พระนิตยโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก
จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด ไม่เป็นคนบ้า ไม่เป็นคนใบ้ ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจันทาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจันทาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี) นางทาสีคือ ทาสที่เป็นผู้หญิง ที่เกิดมาก็ตกเป็นทาสทันที (ทาสในเรือนเบี้ย) ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ ไม่เป็นสตรีเพศ ไม่ทำอนันตริยกรรม ไม่เป็นโรคเรื้อน เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง ไม่เกิดใน ขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก ไม่เกิดเป็นเทวดาใน กามาพจรสวรรค์ ไม่เกิดเป็นเทวดาที่นับเข้าในเทวดาพวกหมู่มาร เมื่อเกิดเป็นรูปพรหม จะไม่เกิดใน ปัญจสุทธวาสพรหมโลก (พรหมชั้นอนาคามี) และอสัญญสัตตาภูมิพรหม ( มีแต่รูปอย่างเดียว) ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก ไม่เกิดในจักรวาลอื่น อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา
 คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ (ตายจากการเป็นเทพ) มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้

จริยธรรม 10 ประการ จริยธรรม 10 ประการของพระโพธิสัตว์ ประกอบด้วย

[1] พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ พระโพธิสัตว์ ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภัยอันตราย พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ พระโพธิสัตว์ ถือว่าทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว พระโพธิสัตว์ คบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผลประโยชน์จากเพื่อน พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง พระโพธิสัตว์ ทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาว่าจะได้รับ พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียนนินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้ [แก้]คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 ข้อใหญ่ [1]

มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่า
จะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์ มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น

ร่างทรงมีจริง (หรือไม่) ที่นี่มีคำตอบ (อินทรีย์เมฆารวบรวม)



https://www.youtube.com/watch?v=WWIyvGoe0gY ร่างทรง องค์เทพเมื่อได้คุยกันถึงเรื่องความเข้าใจผิดหรือความหลงผิดของมนุษย์มาแต่ครั้งพุทธกาลแล้วความ คิดเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัยจนบางครั้งดูเป็นความหลงผิดอย่างมหันต์ เช่นความเชื่อ ในเรื่องไสยศาสตร์ต่าง ๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองหลงยึดติดในเรื่องอิทธิฤทธิ์ จนเกินไป ทำให้หลงเป็นเหยื่อของเหล่า 18 มงกุฎที่ชอบอวดอ้างตนเอง ตั้งตัวเองเป็นเกจิอาจารย์ใช้เล่ห์กลมายาและหน้าม้าขบวนการหลอกล่อ กระทำเรื่องราวต่าง ๆอวดอ้างเป็นผู้วิเศษในเรื่องราวต่าง ๆ จนผู้คนหลงเชื่อในที่สุดก็ต้องสูญเสียเงินทองไปกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้ การเจ็บป่วยของมนุษย์นั้นจัดได้ว่าเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันดังได้ กล่าวมาแล้ว หากเกิดจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวก็อาจเจ็บป่วยเป็น ไข้หวัด ไอหรือจาม เพียงกินยาหรือหาหมอก็หายบางคนอาจมีวิตกจริตมากชอบคิดถึงเรื่อง ราวต่าง ๆอย่างมากมายจนเกิดความเครียด นำไปสู่โรคหัวใจ โรคประสาท ก็เป็นไปได้ แต่บางโรคเพียรพยายามจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย กินยากันเป็นปีผ่าตัดกันเป็นประจำ ก็ไม่หาย ดังนั้นหนทางแห่งการแก้ไขก็เลยหนีจากทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาเป็นไสยศาสตร์ หาร่างทรงองค์เทพกันไปหายก็มี ไม่หายก็มี เพราะถ้าโชคดี พบกับผู้มีภูมิความรู้จริง ๆ ก็คงจะหายแต่ถ้าพบผู้แอบอ้างแฝงมาหากิน ก็คงจะเสียเงินมากกว่าจะหาย สิ่งหนึ่งที่มักจะพบเห็นมักได้แก่ถูกทักทายว่ามีองค์ และจะต้องครอบขันธ์ครูรับองค์เทพไปบูชามิฉะนั้นจะไม่หายป่วย บางทีอาจถึงตายคนเรามาถึงขั้นนี้มีหรือจะไม่ยอม ส่วนใหญ่จะยอมรับขันธ์กันเพราะอยากหายและอยากรวย ดังนั้นเมื่อถูกทักว่ามีองค์ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจเพราะอาจจะเป็นก้าวแรกที่ท่านจะต้องเสียเงินให้ แก่ตำหนักนี้อีก เรื่อย ๆเช่น การครอบขันธ์ งานไหว้ครู เป็นต้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าท่านมีองค์จริงหรือ ? … .หรือว่า ถูกหลอก !คนทรงเจ้า..เจ้าเข้าทรงก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาสาระในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อถือในเรื่องการเข้าทรงก็อยากจะให้ ท่านผู้อ่านได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว 2 ประเด็นด้วยกันคือ 1. คนทรงเจ้า หมายถึงคนธรรมดาที่ไม่มีเทพมาประทับแต่จะแสดงตนแอบอ้างชื่อองค์เทพใหญ่ ๆ ที่มีคนนับถือมาก ๆโดยอาศัยความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถาอาคม วิทยากล สมุนไพรดูดวง เข้ามาประกอบทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือมาจริง ๆโดยหารู้ไม่ว่าเป็นการแสดงมายาเพื่อจะแอบอ้างกอบโกยเอาเงินทองจากผู้หลงไหลในเรื่อง เหล่านี้ร่างทรงพวกนี้จึงเป็นพวก มิจฉาทิฎฐิที่อาศัยคำพูดและการแสดงที่จะทำให้คนเชื่อ ถือหลอกให้เชื่อว่าเป็นมหาเทพลงมาประทับ เช่น ศิวะ นารายณ์ เป็นต้น 2. เจ้าเข้าทรง หมายถึงผู้ที่ มีองค์เทพลงมาประทับจริง ๆ เพื่อสร้างบารมีบางทีร่างทรงจะไม่รู้อะไร เลยในระหว่างที่องค์เทพผ่านมาประทับร่างดังนั้นร่างทรงประเภทนี้จะมีน้อยมากเพราะองค์เทพ มีความประสงค์ที่จะมาช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์เพื่อสร้างบารมีไม่โกงกินไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเพื่อสั่งสมบารมีร่วมกับร่าง จึงทำให้พอมีกินมีใช้ ไม่ร่ำรวยมากนักองค์เทพท่านจึงต้องเลือกร่างที่มีบุญบารมีมาก ๆ เท่านั้น คนชั่วช้าขาดศีลขาดศีลขาดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย เว้นแต่เทพในระดับต่ำ ๆที่มีนิสัยเกเรเป็น สัมภเวสี เป็น เทพกึ่งเปรตที่ไม่มีวิมานอยู่เพราะตอนกลางวันเป็นเทพแต่พอตกกลางคืนก็กลาย เป็นเปรตหรือปีศาจเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านจึงจับร่างที่ชั่วช้าสามานต์มาเป็นบริวารแห่งตน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเครื่องเซ่นสังเวยและอื่น ๆ มีนิสัยอันธพาลอิจฉาตาร้อนชอบ กลั่นแกล้งผู้อื่น อาศัยวิชาเดรัจฉานเลี้ยงชีพจึงต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเรื่อง การทรงเจ้าเข้าผี ดังที่ว่า... เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพมากมายในยุคนี้กล่าวกันว่าเมื่อครั้งพุทธกาลก่อนที่องค์ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่าพระ พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปีแต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระ ศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้นพระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระ ศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา ” พระอานนท์จึงทูลว่า “ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่ง เป็นเวลา2,500 ปี “ พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะ ไรบ้าง ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้นอันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลายจึงพร้อมใจกันกราบทูลขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนา ต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ1,250 ปี พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก เหล่าพญาครุฑคนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจจึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขา ได้ดูแลรักษาจนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลง ไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือหรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอ แทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียงผ้าเหลืองผืนน้อย ๆห้อยอยู่ที่หูเพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระ สงฆ์เท่านั้นพระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้ เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปีเป็นต้นมาจึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำ หน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูทนุบำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณโคดมตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุในเกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบันอนึ่ง องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุ เท่านั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟโดยการมาแฝง บังคับร่าง เพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอา รามต่าง ๆโดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์และบอก บุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆโดยมีจุดประสงค์ เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นก็ด้วย เหตุ 4 ประการ คือ 1. ญาณจุติ หมายถึงภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระและเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่ลงมาจุติเพื่อมา รับกรรมบางอย่างและเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่นพระสงฆ์อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตามที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติ จนได้ญาณหรือฌาณและมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย 2. ญาณแฝง หมายถึง องค์เทพในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์แต่มีความเลื่อมใสปรารถ นาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วยครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้นญาณนี้แหละทีมักถูกเรียกกันว่า “ องค์ ” ซึ่งแยกตามภาระหน้าที่ได้ 2ประการด้วยกัน3.ความสัมพันธ์ในอดีต คือให้การอารักขาผู้ที่ได้มาจุติเป็นมนุษย์เพราะเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อนเมื่อร่าง นี้ได้ทำบุญและแผ่เมตตาให้ ก็จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันขณะเดียวกันก็จะคอยปกป้อง คุ้มครอง ช่วยเหลือการทำมาหากิน ดลจิตดลใจหรือเกิดเป็นลางสังหรณ์ในเรื่องราวต่าง ๆจะพาสร้างบารมีทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาบางครั้งเวลาสวดมนต์นั่งกรรมฐานองค์เทพท่าน จะพาสวดมนต์เป็นภาษาเบื้องบนหรือภาษาเทพไปเลยก็มี ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้แก่ ก. เคยมีบุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ ข.เคยติดหนี้บุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์หรือในอดีตชาติ ค.เคยเป็นบุตรหลานหรือบริวารกันมาก่อนง.เกิดจาการสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีจากเทพเป็นประจำ จึงลงมาช่วย 4.ทำหน้าที่เป็นม้าทรง หรือ ร่างทรง ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่เนื่องจากองค์เทพที่มาจับร่างเห็นว่า เป็นคนดีและมีบารมีพอบังเอิญมาหมดอายุขัยก่อน ท่านก็เลยต่ออายุให้ดังนั้นร่างนี้จึงต้องสร้างบารมีชดใช้หนี้บุญคุณขององค์เทพโดยเป็นร่าง ทรงหรือสื่อที่จะติดต่อมนุษย์เพื่อสร้างบารมีร่วมกันในการทำนายทายทัก รักษาโรค หรือ อื่น ๆ สุดแท้แต่องค์เทพท่านจะเห็นสมควรและเมื่อถืงเวลาหรือหมดหน้าที่ก็จะต้องตายจริง ๆ บางคนอาจสงสัยว่า “เทพ พรหม ”มีบารมีมากพอแล้ว ทำไมถึงต้องลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อีกทั้งที่ร่างกายมนุษย์มีแต่ของเน่าเหม็นเต็มไปหมดดัง นั้นเราควรศึกษาให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยเพราะความเป็นเทพพรหมแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุคติ ภูมิแต่ก็ย่อมมีอายุขัยแม้จะเป็นหมื่นปีแสนปีสักวันหนึ่งมาถึงก็ย่อมจะต้องลงไปจุติใหม่ตามวิบาก กรรม เหตุฉะนั้นเทพพรหมผู้ไม่ประมาท จึงต้องขวนขวายหมั่นสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆขึ้นไป อนึ่งในความเป็นเทพพรหมนั้นย่อมอยู่ในสภาวะที่เรียกกันว่า “โอปปาติกะ ” คือมีความเป็นทิพย์ที่ละเอียด ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่าเว้นแต่ผู้ที่ฝึกจิตจนใสละเอียดในระดับเดียวกันจึงสามารถมอง เห็นตัวกันได้ ดังนั้นหนทางแห่งการสร้างบุญจึงมีขีดจำกัด ด้วยอานิสงก์แห่งบุญนั้นเอง ไม่เหมือน มนุษย์ย่อมสามารถบำเพ็ญบารมีได้ถึงชั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตก็ยังต้องมาจุติในภพมนุษย์ เพราะต้องอาศัยสังขารหรือธาตุขันธ์ 5 เพื่อชดใช้หนี้เวรหนี้กรรม จนบรรลุพระโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีองค์หรือเปล่าหรือชอบไปเที่ยวหาร่างทรงตามตำหนักต่าง ๆ เป็นเทพจริงหรือเปล่าหรือเป็นเพียงสัมภเวสีที่แอบอ้างหากินไปวัน ๆพอถูกเขาทักว่ามีองค์ก็เลยพาลรับขันธ์ 5 ไปเลยก็มี ถ้าทำถูกต้องก็ดีไปถ้าทำไม่ถูกต้อง กลายเป็นว่าเอาผีมาใส่ไว้ในตัวก็จะซวยไปกันใหญ่เพราะบางทีเราไม่ทราบว่า ตำหนักไหนแท้หรือเทียม บางคนไม่มีอะไรแต่พอเห็นเขามีองค์ก็พาลอยากจะเป็นบ้าง ก็เลยทำให้มีทั้ง “ คนทรงเจ้า ” “ เจ้าเข้าทรง ” ก็อยู่ในวิจารณญาณของท่านที่ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีเสียก่อน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุ่มหลงในเรื่องของ “ เทพพรหม ”เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกจึงไม่สอนให้ไปยึดติดในภพภูมิเหล่านั้นแต่ไม่ได้ทรงปฏิเสธใน เรื่องเทพพรหมว่ามีจริงเพราะแม้ครั้งพุทธกาลก็เคยเสด็จไปโปรด พุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์แม้ในพุทธกิจก็ยังแบ่งเวลาไปโปรดเทพเทวดาในชั้นภูมิต่าง ๆจนมีผู้สำเร็จอริยบุคคลไปเป็นจำนวนมาก...นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว... กรณีการรับขันธ์ ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้นๆ และยังหมายถึงข้อตกลงระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้ กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมีโดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลงก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพ ยานจะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป ดังนั้นความหมายของการรับขันธ์ขององค์เทพจึงเป็นสัญญาใจหรือข้อตกลงในการประ พฤติปฏิบัติทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนแห่งเทพดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องในความหมาย ดังนี้ ขันธ์ 5 หมายถึงการรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้ ขันธ์ 8 หมายถึงการรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง ขันธ์ 9 หมายถึงการรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ ขันธ์ 10 หมายถึงศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ ขันธ์ 16 หมายถึงศีลของนักบวช ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียวงดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่านอยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวชเพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้นดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนเพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำ มาบูชาเท่านั้นจะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้องไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือด ร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมาถ้าจำเป็นต้องรับด้วยเหตุอันใดก็ตาม เช่น นิมิตจากองค์เทพมาบอกเองก็ควรพิจารณาให้ดีว่าจะรับจากใคร หรือถ้าเป็นตำหนักก็ต้องดูว่าร่างนั้นปฏิบัติตนอยู่ในหลักศีลธรรมหรือไม่เหมาะที่จะเป็นครูบา อาจารย์ที่จะทำพิธีมอบขันธ์ให้หรือเปล่าเพราะหากเป็นร่างที่แอบอ้าง หรือเป็นเทพกึ่งเปรตก็อาจจะนำเอาบริวารที่เป็นตีนโรงตีนศาลมาครอบให้แทน ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่อันนี้ต้องระวังให้หนัก สรุปแล้วก็คือว่า ขันธ์ที่ถูกหลอกว่าเป็นเทพ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผี แทบทั้งสิ้น บางคนเจ้าตำหนักทรงก็ยังไม่รู้ว่า ตนเองเป็นเทพหรือผีกันแน่...ส่วนใหญ่แล้ว..จะเป็นสัมภเวสี แอบอ้างว่าเป็นเทพ..แทบทั้งนั้น..!!... สัจจะองค์เทพฯมนุษย์เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องรับขันธ์เพื่อยอมอุทิศตนเป็นร่างให้กับองค์เทพแต่ละองค์นั้น ก็จำเป็นต้องทราบว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงสมควรแก่ภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังเช่น 1. การปฏิบัติตัว คือการทำตนเองให้เป็นนักบุญหมั่นแสวงหาบุญกุศลเหมือนการสร้างสั่งสมบารมีให้มากที่สุด เช่นการไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญใส่บาตร ถือศีล กินเจ สมาธิภาวนา 2.การปรนนิบัติ คือการใช้หนี้ใช้สิน อันเกิดจากชาตินี้และชาติที่ผ่านมารู้จักกตัญญูและกตเวที เช่น การปรนนิบัติ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ เป็นต้น 3. การโปรดสัตว์ คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เท่าที่จะสามารถทำได้ รู้จักมีเมตตาธรรมนั่นเอง ส่วนสิ่งที่มนุษย์จะได้รับตอบแทนจากองค์เทพนั้น ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานขอในตอนครอบขันธ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมไม่เกินกฏแห่งกรรม... ลักษณะของการประทับทรง ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่างๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดีก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขป ดังนี้ 1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวก สัมภเวสีหรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว 2.ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ 3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์ 4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ 5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง...นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว... คำแนะนำ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตนเอง ก็น่าจะเพียงพอเพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นคือปรารถนาจะได้ ร่วมสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อนพาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วย หิริโอตตัปปะคือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาปการที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มีนอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงานการเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิต ดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากรรมส่วนนี้ได้ดังนั้นบางทีพอรับขันธ์เข้า แล้วหันหน้ามาปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ อะไร ๆ มันก็ดีขึ้นตามบารมีของตนเพราะก่อนหน้าเมื่อยังดีอยู่นั้น ก็ไม่เคยคิดปฏิบัติจริงจังทำบุญก็มีบ้างตามโอกาสเท่านั้น เพราะหากเทพจะมาอยู่ด้วยก็คงไม่จำเป็นต้องทำพิธีอะไรมากมายการรับขันธ์เป็นเรื่องสมมุติ กันขึ้นมาเท่านั้นเพราะท่านจะมาอยู่กับมนุษย์นั้น บางทีก็ติดตามมาแต่เกิดอยู่ติดตามเรามาตลอด เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเองเพิ่งจะมาคิดรับขันธ์เพื่อรับองค์เทพ เพราะอยากรวยเท่านั้นหรือเว้นแต่ผู้เป็นร่างทรงที่ทำหน้าที่สงเคราะห์มนุษย์ในการบำบัดรักษา โรคภัยไข้เจ็บก็เป็นหน้าที่ขององค์เทพที่ผ่านร่างมาจะสั่งดำเนินการตามโอกาสต่าง ๆ...ข้อสังเกตมนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพแฝงอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก 1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น “ ไมเกรน ” 2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า 3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย จนหมอว่าเป็นโรคหัวใจ 4. ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ ซิกเซ้นท์ ” 5.ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง บางที ผิดแต้มเดียวกลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับหลัง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำแต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี 7. ไ ปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว8. บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา 9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป ดังนั้นอาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเองเสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างก็อาจจะเกิดจากสัมภเวสีได้เช่นกัน 1.ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหวหมอว่าเป็นความดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไขเพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศรีษะได้ 2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ 3. มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม 4. แน่นหน้าอกมากผิดปกติ 5.ป วดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้นเว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรงนั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพแต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเว สีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเองหากรักษาแล้วแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้นก็ลองติดต่อขอรับการสงเคราะห์หรือปรึกษา กับ หลวงพ่อวัชระ วัดถ้ำแฝดกาญจนบุรี เพราะท่านอาจจะพอหาทางแก้ไขให้ได้ ดังนั้นการที่ได้กล่าวพาดพิงถึง การรับขันธ์หรือองค์เทพก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูก ต้องไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำกันมาครูบาอาจารย์องค์เทพก็ตาม ก็ไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้เพราะการเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้นมีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น... นำเสนอข้อมูลโดย... กุหลาบขาว... ร่างทรง" จริงหรือเท็จ ดูได้จากองค์รวมต่อไปนี้......................................................... ที่มา : "ภูเตศวร" กับ "ธรรมะ ๕ นาที" ๑.ราศี ดูราศีของมนุษย์ผู้เป็นร่าง ตรงนี้ดูเป็นเรื่องยากสักนิดแต่ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นได้ชัดคนเหล่านี้จะมีอะไรบางอย่างที่ห่าง จากมนุษย์ทั่ว ๆ ไป พูดง่าย ๆว่ามีคุณลักษณะพิเศษกว่าตรงมองดูน่าเกรงขาม แต่น่าเข้าใกล้มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ๒.จริยวัตร ข้อนี้ดูได้ค่อนข้างง่าย เหมือนเราดูพระสงฆ์นั่นแหละครับ พระดีดีที่ศีลอันบริสุทธิ์ ดีที่สมาธิ และเป็นผู้มีปัญญาฉะนั้นแม้นร่างทรงจะเป็นมนุษย์ แต่ถูกควบคุมโดยเทพเจ้าเทพย่อมแตกต่างจากมาร ตรงที่มีคุณความดี มีศีลธรรมและสำคัญคือมีเมตตา...เท่าที่เคยพบเห็นร่างทรงแท้จริงมาส่วนใหญ่จะไม่เคยเรียก ร้องเงินทองจากมนุษย์ที่มาขอความช่วยเหลือ...จะยากดีมีจน จะให้การต้อนรับเท่าเทียมกัน ไม่เห็นคนร่ำรวยดีกว่าคนจนแต่มักจะมีความปรานีคนยากจนและลำบากด้วยการช่วยเหลือ ก่อนเสมอ... ๓.ปัญญา ตรงนี้สำคัญครับ ถ้าเป็นเทวดาลงมาประทับทรงช่วยมนุษย์แต่ปัญญาทึบอับกว่ามนุษย์แล้วจะลงมาช่วยได้อย่าง ไร? มีครับบางรายแอบอ้างว่า เป็นญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)ผู้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ อันเลื่องชื่อ ลงมาประทับแต่พออาราธนาท่านให้เทศน์โปรดบ้าง ท่าน (ร่างทรง) กลับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆเทศน์ไม่ได้ อย่างนี้ถ้าใครเชื่อก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไรแล้ว...การเป็นเทวดาต้องมีปัญญากว่าคนทั่วไป และแตกฉานธรรมะพอสมควรเพื่อแนะนำผู้มีทุกข์กายทุกข์ใจทั้งหลายในการปฏิบัติตนให้พ้น จากทุกข์ได้บ้างเท่านั้น ๔.ความสะอาด-สงบร่างทรงที่แท้จริงมักมีนิสัยชอบความสงบ...และที่อยู่ที่กินสะอาดตรงนี้ไม่ ได้หมายถึง มีบ้านช่องใหญ่โต หรือมีข้าทาสบริวารเยอะนะครับถึงจะอยู่ในกระต๊อบหรือที่ไหนคนเป็นร่างแท้มักจะเป็นคนรัก ษาความสะอาดและเป็นระเบียบดังที่มีประโยคกล่าวว่าจะดูพระสงฆ์วัดไหนดีไม่ดี ให้ดูลานวัน ลานวัดสะอาดเสนาสนะเรียบร้อย บอกได้เลยว่าวัดนั้นพระสงฆ์เป็นผู้พัฒนาทางจิตได้มากกว่า ครับ ร่างทรงก็เป็นเช่นนั้นถ้าแม้แต่หิ้งพระหรือที่บูชาเทพสกปรกรุงรังเต็มไปด้วยหยากไย่ฝุ่นละออง แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าจิตของเขาสะอาดพอที่จะรองรับพระญาณของเทพมาช่วยมนุษย์ ได้ จริงไหมครับ... สี่ประการที่กล่าวมาข้างต้นคือหลักการใหญ่ ๆที่ใช้สังเกตว่าร่างทรงที่คุณพบเห็นนั้นเป็น ร่างทรงแท้จริงหรือไม่แต่ก็ใช่ว่าในสี่ประการนั้น จะเป็นตัวพิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งนี้ เพราะถ้าผู้แอบอ้างเป็นผู้มีปัญญาฉลาดเฉลียวก็สามารถปรุงแต่งขึ้นมาได้เหมือนกัน ข้อสำคัญที่สุด...คือก่อนที่คุณจะไปพบร่างทรงเพื่อขอความช่วยเหลือต้องบอกกับตัวเอง ว่าเราเป็นผู้มีสติ...เป็นผู้มีปัญญาในการพิจารณาทุกสิ่งอันด้วยเหตุและผล ร่างทรงและเทวดาที่ลงประทับจะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะทั้งร่างและเทวดาต่างก็ยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น... ...อย่าเชื่อ! ว่าเทวดาจะล้างเคราะห์ล้างกรรมให้คุณได้ ...อย่าเชื่อ! ว่าการเสียเงินเสียทองมากมายแล้วจะทำการตัดเคราะห์ตัดกรรมได้ ถ้าเทวดาที่ไหนพูดอย่างนี้ ถือว่าไม่จริง! ...อย่าเชื่อ!ว่าการรับขันธ์ครู บูชาด้วยการยอมเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่นแล้วเทวดาจะมาอยู่ดูแลตัวคุณ อวยสุขให้คุณมีทรัพย์สินเงินทองขึ้นมาได้ ............................................................................ ถ้าร่างทรงนั้น สามารถรับพระญาณของเทพเจ้าได้จริง สิ่งที่คุณจะพึ่งพาได้มีอยู่สองประการเท่านั้น... คือ... ๑.คำทำนายทายทักเพราะเทวดาบางท่านมีกระแสญาณสามารถหยั่งรู้อดีต-อนาคตได้พอ สมควรที่ใช้คำว่าพอสมควรเพราะอำนาจของเทวดาก็มีอยู่ในขีดจำกัดตามบารมีของตนที่สะ สมมาเท่านั้นบางครั้งทำได้แต่ใกล้เคียง ไม่ใช่เป็นเทวดาแล้วจะรู้ไปเสียทั้งหมด ๒.ถ้าเทวดาลงประทับจริงสามารถให้ข้อคิด-ข้อธรรมให้เราเอามาใช้แก้ไขความทุกข์ได้บ้าง ในชีวิต แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นคุณก็ต้องเอาปัญญาของคุณพิจารณาด้วยเพราะเทวดาก็ใช่ว่าทุก องค์จะอยู่ในสัมมาทิฐิเสียทั้งหมดไปบางองค์ยังเป็นพวกมิจฉาลัทธิอยู่ก็มี การที่คุณรู้จักร่างทรงที่ไหนก็ตาม คุณต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่ถืออคติหรือโน้มนำจิตศรัทธาเสียตั้งแต่แรกพบ การวางจิตเฉย ๆ เป็นกลาง จะทำให้คนเราสามารถค้นหาเหตุผลมาพิจารณาได้โดยง่าย นำเสนอข้อมูลโดย... กุหลาบขาว... การเปิดพระโอษฐ์ คืออะไร..?? มนุษย์เราเกิดมาจะมีองค์บารมีคุ้มครองสังขารกันทุกคน จะเป็นองค์เทพ-พรหมหรือสัมภเวสี ก็แล้วแต่กุศลมูลเดิมหรือสัญญาที่ได้ทำกันไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติคนเราไม่สามารถที่จะเลือก องค์บารมีประจำสังขารได้ บุคคลใดที่พูดว่าเทพองค์นั้นองค์นี้ เสด็จมาประทับร่างของตน นั้นเป็นการพูดเพื่อยกตนให้สูงขึ้น โดยไม่รู้จริงองค์เทพที่เจ้าตัวได้คุยเอาไว้นั้นแม้แต่ช่วยตัว ร่างเองไม่ได้แล้วจะมีฤทธิ์ไปช่วยเหลือมนุษย์อื่นใดได้หรือ? การเชิญองค์บารมีของตนเองมาประทับร่าง หรือเรียกว่า “ การเปิดพระโอษฐ์”ใช่ว่าเมื่อเปิด แล้วจะได้เป็น“ คนทรง”หรือ “ร่างทรง”กันทุกคนไปเพราะว่าเทพแต่ละองค์นั้นท่านจะมีหน้า ที่ไม่เหมือนกันบางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น เปิดพระโอษฐ์รัก ษาโรคภัยไข้เจ็บ ปราบมาร ปราบผี ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในทางโชคชะตาราศีเทพส่วน มากจะลงมาเพื่อคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้นโดยจะไม่ช่วยเหลือมนุษย์คนใดเลยมีสำนัก ทรงจำนวนมากที่เทพของตนเองไม่มีหน้าที่ หรือว่าร่างทรงไม่มี “ บารมี”พอที่จะเปิดพระ โอษฐ์ได้ แต่ชอบที่จะใช้คำพูดเพื่อที่จะให้พ้นๆ ตัวไปว่า “ ยังไม่ถึงเวลา”คือถ้าหากจะพูดว่า ตัวเองเปิดไม่ได้ก็จะทำให้คุณค่าของตัวอาจารย์นั้นด้อยคุณค่าลงไปทำให้เกิดการหลงทาง บอกไปผิด ๆ ว่าองค์ของศิษย์เป็นเทพองค์ใหญ่ไม่จำเป็นต้องเชิญท่านลงมาประทับท่านจะ สื่อกับสังขารเข้ามาหาภายในจิตเองอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการยกย่องศิษย์คนนั้นไปในตัว เพื่อที่จะผูกมัดใจให้ศิษย์คนนั้น