วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ร่างทรงมีจริง (หรือไม่) ที่นี่มีคำตอบ (อินทรีย์เมฆารวบรวม)



https://www.youtube.com/watch?v=WWIyvGoe0gY ร่างทรง องค์เทพเมื่อได้คุยกันถึงเรื่องความเข้าใจผิดหรือความหลงผิดของมนุษย์มาแต่ครั้งพุทธกาลแล้วความ คิดเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัยจนบางครั้งดูเป็นความหลงผิดอย่างมหันต์ เช่นความเชื่อ ในเรื่องไสยศาสตร์ต่าง ๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองหลงยึดติดในเรื่องอิทธิฤทธิ์ จนเกินไป ทำให้หลงเป็นเหยื่อของเหล่า 18 มงกุฎที่ชอบอวดอ้างตนเอง ตั้งตัวเองเป็นเกจิอาจารย์ใช้เล่ห์กลมายาและหน้าม้าขบวนการหลอกล่อ กระทำเรื่องราวต่าง ๆอวดอ้างเป็นผู้วิเศษในเรื่องราวต่าง ๆ จนผู้คนหลงเชื่อในที่สุดก็ต้องสูญเสียเงินทองไปกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้ การเจ็บป่วยของมนุษย์นั้นจัดได้ว่าเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันดังได้ กล่าวมาแล้ว หากเกิดจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวก็อาจเจ็บป่วยเป็น ไข้หวัด ไอหรือจาม เพียงกินยาหรือหาหมอก็หายบางคนอาจมีวิตกจริตมากชอบคิดถึงเรื่อง ราวต่าง ๆอย่างมากมายจนเกิดความเครียด นำไปสู่โรคหัวใจ โรคประสาท ก็เป็นไปได้ แต่บางโรคเพียรพยายามจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย กินยากันเป็นปีผ่าตัดกันเป็นประจำ ก็ไม่หาย ดังนั้นหนทางแห่งการแก้ไขก็เลยหนีจากทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาเป็นไสยศาสตร์ หาร่างทรงองค์เทพกันไปหายก็มี ไม่หายก็มี เพราะถ้าโชคดี พบกับผู้มีภูมิความรู้จริง ๆ ก็คงจะหายแต่ถ้าพบผู้แอบอ้างแฝงมาหากิน ก็คงจะเสียเงินมากกว่าจะหาย สิ่งหนึ่งที่มักจะพบเห็นมักได้แก่ถูกทักทายว่ามีองค์ และจะต้องครอบขันธ์ครูรับองค์เทพไปบูชามิฉะนั้นจะไม่หายป่วย บางทีอาจถึงตายคนเรามาถึงขั้นนี้มีหรือจะไม่ยอม ส่วนใหญ่จะยอมรับขันธ์กันเพราะอยากหายและอยากรวย ดังนั้นเมื่อถูกทักว่ามีองค์ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจเพราะอาจจะเป็นก้าวแรกที่ท่านจะต้องเสียเงินให้ แก่ตำหนักนี้อีก เรื่อย ๆเช่น การครอบขันธ์ งานไหว้ครู เป็นต้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าท่านมีองค์จริงหรือ ? … .หรือว่า ถูกหลอก !คนทรงเจ้า..เจ้าเข้าทรงก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาสาระในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อถือในเรื่องการเข้าทรงก็อยากจะให้ ท่านผู้อ่านได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว 2 ประเด็นด้วยกันคือ 1. คนทรงเจ้า หมายถึงคนธรรมดาที่ไม่มีเทพมาประทับแต่จะแสดงตนแอบอ้างชื่อองค์เทพใหญ่ ๆ ที่มีคนนับถือมาก ๆโดยอาศัยความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถาอาคม วิทยากล สมุนไพรดูดวง เข้ามาประกอบทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือมาจริง ๆโดยหารู้ไม่ว่าเป็นการแสดงมายาเพื่อจะแอบอ้างกอบโกยเอาเงินทองจากผู้หลงไหลในเรื่อง เหล่านี้ร่างทรงพวกนี้จึงเป็นพวก มิจฉาทิฎฐิที่อาศัยคำพูดและการแสดงที่จะทำให้คนเชื่อ ถือหลอกให้เชื่อว่าเป็นมหาเทพลงมาประทับ เช่น ศิวะ นารายณ์ เป็นต้น 2. เจ้าเข้าทรง หมายถึงผู้ที่ มีองค์เทพลงมาประทับจริง ๆ เพื่อสร้างบารมีบางทีร่างทรงจะไม่รู้อะไร เลยในระหว่างที่องค์เทพผ่านมาประทับร่างดังนั้นร่างทรงประเภทนี้จะมีน้อยมากเพราะองค์เทพ มีความประสงค์ที่จะมาช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์เพื่อสร้างบารมีไม่โกงกินไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเพื่อสั่งสมบารมีร่วมกับร่าง จึงทำให้พอมีกินมีใช้ ไม่ร่ำรวยมากนักองค์เทพท่านจึงต้องเลือกร่างที่มีบุญบารมีมาก ๆ เท่านั้น คนชั่วช้าขาดศีลขาดศีลขาดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย เว้นแต่เทพในระดับต่ำ ๆที่มีนิสัยเกเรเป็น สัมภเวสี เป็น เทพกึ่งเปรตที่ไม่มีวิมานอยู่เพราะตอนกลางวันเป็นเทพแต่พอตกกลางคืนก็กลาย เป็นเปรตหรือปีศาจเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านจึงจับร่างที่ชั่วช้าสามานต์มาเป็นบริวารแห่งตน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเครื่องเซ่นสังเวยและอื่น ๆ มีนิสัยอันธพาลอิจฉาตาร้อนชอบ กลั่นแกล้งผู้อื่น อาศัยวิชาเดรัจฉานเลี้ยงชีพจึงต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเรื่อง การทรงเจ้าเข้าผี ดังที่ว่า... เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพมากมายในยุคนี้กล่าวกันว่าเมื่อครั้งพุทธกาลก่อนที่องค์ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่าพระ พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปีแต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระ ศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้นพระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระ ศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา ” พระอานนท์จึงทูลว่า “ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่ง เป็นเวลา2,500 ปี “ พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะ ไรบ้าง ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้นอันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลายจึงพร้อมใจกันกราบทูลขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนา ต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ1,250 ปี พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก เหล่าพญาครุฑคนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจจึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขา ได้ดูแลรักษาจนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลง ไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือหรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอ แทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียงผ้าเหลืองผืนน้อย ๆห้อยอยู่ที่หูเพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระ สงฆ์เท่านั้นพระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้ เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปีเป็นต้นมาจึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำ หน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูทนุบำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณโคดมตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุในเกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบันอนึ่ง องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุ เท่านั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟโดยการมาแฝง บังคับร่าง เพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอา รามต่าง ๆโดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์และบอก บุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆโดยมีจุดประสงค์ เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นก็ด้วย เหตุ 4 ประการ คือ 1. ญาณจุติ หมายถึงภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระและเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่ลงมาจุติเพื่อมา รับกรรมบางอย่างและเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่นพระสงฆ์อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตามที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติ จนได้ญาณหรือฌาณและมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย 2. ญาณแฝง หมายถึง องค์เทพในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์แต่มีความเลื่อมใสปรารถ นาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วยครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้นญาณนี้แหละทีมักถูกเรียกกันว่า “ องค์ ” ซึ่งแยกตามภาระหน้าที่ได้ 2ประการด้วยกัน3.ความสัมพันธ์ในอดีต คือให้การอารักขาผู้ที่ได้มาจุติเป็นมนุษย์เพราะเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อนเมื่อร่าง นี้ได้ทำบุญและแผ่เมตตาให้ ก็จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันขณะเดียวกันก็จะคอยปกป้อง คุ้มครอง ช่วยเหลือการทำมาหากิน ดลจิตดลใจหรือเกิดเป็นลางสังหรณ์ในเรื่องราวต่าง ๆจะพาสร้างบารมีทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาบางครั้งเวลาสวดมนต์นั่งกรรมฐานองค์เทพท่าน จะพาสวดมนต์เป็นภาษาเบื้องบนหรือภาษาเทพไปเลยก็มี ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้แก่ ก. เคยมีบุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ ข.เคยติดหนี้บุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์หรือในอดีตชาติ ค.เคยเป็นบุตรหลานหรือบริวารกันมาก่อนง.เกิดจาการสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีจากเทพเป็นประจำ จึงลงมาช่วย 4.ทำหน้าที่เป็นม้าทรง หรือ ร่างทรง ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่เนื่องจากองค์เทพที่มาจับร่างเห็นว่า เป็นคนดีและมีบารมีพอบังเอิญมาหมดอายุขัยก่อน ท่านก็เลยต่ออายุให้ดังนั้นร่างนี้จึงต้องสร้างบารมีชดใช้หนี้บุญคุณขององค์เทพโดยเป็นร่าง ทรงหรือสื่อที่จะติดต่อมนุษย์เพื่อสร้างบารมีร่วมกันในการทำนายทายทัก รักษาโรค หรือ อื่น ๆ สุดแท้แต่องค์เทพท่านจะเห็นสมควรและเมื่อถืงเวลาหรือหมดหน้าที่ก็จะต้องตายจริง ๆ บางคนอาจสงสัยว่า “เทพ พรหม ”มีบารมีมากพอแล้ว ทำไมถึงต้องลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อีกทั้งที่ร่างกายมนุษย์มีแต่ของเน่าเหม็นเต็มไปหมดดัง นั้นเราควรศึกษาให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยเพราะความเป็นเทพพรหมแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุคติ ภูมิแต่ก็ย่อมมีอายุขัยแม้จะเป็นหมื่นปีแสนปีสักวันหนึ่งมาถึงก็ย่อมจะต้องลงไปจุติใหม่ตามวิบาก กรรม เหตุฉะนั้นเทพพรหมผู้ไม่ประมาท จึงต้องขวนขวายหมั่นสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆขึ้นไป อนึ่งในความเป็นเทพพรหมนั้นย่อมอยู่ในสภาวะที่เรียกกันว่า “โอปปาติกะ ” คือมีความเป็นทิพย์ที่ละเอียด ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่าเว้นแต่ผู้ที่ฝึกจิตจนใสละเอียดในระดับเดียวกันจึงสามารถมอง เห็นตัวกันได้ ดังนั้นหนทางแห่งการสร้างบุญจึงมีขีดจำกัด ด้วยอานิสงก์แห่งบุญนั้นเอง ไม่เหมือน มนุษย์ย่อมสามารถบำเพ็ญบารมีได้ถึงชั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตก็ยังต้องมาจุติในภพมนุษย์ เพราะต้องอาศัยสังขารหรือธาตุขันธ์ 5 เพื่อชดใช้หนี้เวรหนี้กรรม จนบรรลุพระโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีองค์หรือเปล่าหรือชอบไปเที่ยวหาร่างทรงตามตำหนักต่าง ๆ เป็นเทพจริงหรือเปล่าหรือเป็นเพียงสัมภเวสีที่แอบอ้างหากินไปวัน ๆพอถูกเขาทักว่ามีองค์ก็เลยพาลรับขันธ์ 5 ไปเลยก็มี ถ้าทำถูกต้องก็ดีไปถ้าทำไม่ถูกต้อง กลายเป็นว่าเอาผีมาใส่ไว้ในตัวก็จะซวยไปกันใหญ่เพราะบางทีเราไม่ทราบว่า ตำหนักไหนแท้หรือเทียม บางคนไม่มีอะไรแต่พอเห็นเขามีองค์ก็พาลอยากจะเป็นบ้าง ก็เลยทำให้มีทั้ง “ คนทรงเจ้า ” “ เจ้าเข้าทรง ” ก็อยู่ในวิจารณญาณของท่านที่ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีเสียก่อน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุ่มหลงในเรื่องของ “ เทพพรหม ”เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกจึงไม่สอนให้ไปยึดติดในภพภูมิเหล่านั้นแต่ไม่ได้ทรงปฏิเสธใน เรื่องเทพพรหมว่ามีจริงเพราะแม้ครั้งพุทธกาลก็เคยเสด็จไปโปรด พุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์แม้ในพุทธกิจก็ยังแบ่งเวลาไปโปรดเทพเทวดาในชั้นภูมิต่าง ๆจนมีผู้สำเร็จอริยบุคคลไปเป็นจำนวนมาก...นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว... กรณีการรับขันธ์ ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้นๆ และยังหมายถึงข้อตกลงระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้ กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมีโดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลงก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพ ยานจะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป ดังนั้นความหมายของการรับขันธ์ขององค์เทพจึงเป็นสัญญาใจหรือข้อตกลงในการประ พฤติปฏิบัติทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนแห่งเทพดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องในความหมาย ดังนี้ ขันธ์ 5 หมายถึงการรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้ ขันธ์ 8 หมายถึงการรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง ขันธ์ 9 หมายถึงการรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ ขันธ์ 10 หมายถึงศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ ขันธ์ 16 หมายถึงศีลของนักบวช ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียวงดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่านอยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวชเพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้นดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนเพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำ มาบูชาเท่านั้นจะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้องไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือด ร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมาถ้าจำเป็นต้องรับด้วยเหตุอันใดก็ตาม เช่น นิมิตจากองค์เทพมาบอกเองก็ควรพิจารณาให้ดีว่าจะรับจากใคร หรือถ้าเป็นตำหนักก็ต้องดูว่าร่างนั้นปฏิบัติตนอยู่ในหลักศีลธรรมหรือไม่เหมาะที่จะเป็นครูบา อาจารย์ที่จะทำพิธีมอบขันธ์ให้หรือเปล่าเพราะหากเป็นร่างที่แอบอ้าง หรือเป็นเทพกึ่งเปรตก็อาจจะนำเอาบริวารที่เป็นตีนโรงตีนศาลมาครอบให้แทน ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่อันนี้ต้องระวังให้หนัก สรุปแล้วก็คือว่า ขันธ์ที่ถูกหลอกว่าเป็นเทพ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผี แทบทั้งสิ้น บางคนเจ้าตำหนักทรงก็ยังไม่รู้ว่า ตนเองเป็นเทพหรือผีกันแน่...ส่วนใหญ่แล้ว..จะเป็นสัมภเวสี แอบอ้างว่าเป็นเทพ..แทบทั้งนั้น..!!... สัจจะองค์เทพฯมนุษย์เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องรับขันธ์เพื่อยอมอุทิศตนเป็นร่างให้กับองค์เทพแต่ละองค์นั้น ก็จำเป็นต้องทราบว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงสมควรแก่ภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังเช่น 1. การปฏิบัติตัว คือการทำตนเองให้เป็นนักบุญหมั่นแสวงหาบุญกุศลเหมือนการสร้างสั่งสมบารมีให้มากที่สุด เช่นการไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญใส่บาตร ถือศีล กินเจ สมาธิภาวนา 2.การปรนนิบัติ คือการใช้หนี้ใช้สิน อันเกิดจากชาตินี้และชาติที่ผ่านมารู้จักกตัญญูและกตเวที เช่น การปรนนิบัติ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ เป็นต้น 3. การโปรดสัตว์ คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เท่าที่จะสามารถทำได้ รู้จักมีเมตตาธรรมนั่นเอง ส่วนสิ่งที่มนุษย์จะได้รับตอบแทนจากองค์เทพนั้น ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานขอในตอนครอบขันธ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมไม่เกินกฏแห่งกรรม... ลักษณะของการประทับทรง ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่างๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดีก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขป ดังนี้ 1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวก สัมภเวสีหรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว 2.ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ 3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์ 4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ 5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง...นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว... คำแนะนำ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตนเอง ก็น่าจะเพียงพอเพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นคือปรารถนาจะได้ ร่วมสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อนพาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วย หิริโอตตัปปะคือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาปการที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มีนอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงานการเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิต ดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากรรมส่วนนี้ได้ดังนั้นบางทีพอรับขันธ์เข้า แล้วหันหน้ามาปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ อะไร ๆ มันก็ดีขึ้นตามบารมีของตนเพราะก่อนหน้าเมื่อยังดีอยู่นั้น ก็ไม่เคยคิดปฏิบัติจริงจังทำบุญก็มีบ้างตามโอกาสเท่านั้น เพราะหากเทพจะมาอยู่ด้วยก็คงไม่จำเป็นต้องทำพิธีอะไรมากมายการรับขันธ์เป็นเรื่องสมมุติ กันขึ้นมาเท่านั้นเพราะท่านจะมาอยู่กับมนุษย์นั้น บางทีก็ติดตามมาแต่เกิดอยู่ติดตามเรามาตลอด เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเองเพิ่งจะมาคิดรับขันธ์เพื่อรับองค์เทพ เพราะอยากรวยเท่านั้นหรือเว้นแต่ผู้เป็นร่างทรงที่ทำหน้าที่สงเคราะห์มนุษย์ในการบำบัดรักษา โรคภัยไข้เจ็บก็เป็นหน้าที่ขององค์เทพที่ผ่านร่างมาจะสั่งดำเนินการตามโอกาสต่าง ๆ...ข้อสังเกตมนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพแฝงอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก 1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น “ ไมเกรน ” 2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า 3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย จนหมอว่าเป็นโรคหัวใจ 4. ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ ซิกเซ้นท์ ” 5.ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง บางที ผิดแต้มเดียวกลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับหลัง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำแต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี 7. ไ ปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว8. บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา 9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป ดังนั้นอาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเองเสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างก็อาจจะเกิดจากสัมภเวสีได้เช่นกัน 1.ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหวหมอว่าเป็นความดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไขเพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศรีษะได้ 2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ 3. มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม 4. แน่นหน้าอกมากผิดปกติ 5.ป วดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้นเว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรงนั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพแต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเว สีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเองหากรักษาแล้วแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้นก็ลองติดต่อขอรับการสงเคราะห์หรือปรึกษา กับ หลวงพ่อวัชระ วัดถ้ำแฝดกาญจนบุรี เพราะท่านอาจจะพอหาทางแก้ไขให้ได้ ดังนั้นการที่ได้กล่าวพาดพิงถึง การรับขันธ์หรือองค์เทพก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูก ต้องไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำกันมาครูบาอาจารย์องค์เทพก็ตาม ก็ไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้เพราะการเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้นมีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น... นำเสนอข้อมูลโดย... กุหลาบขาว... ร่างทรง" จริงหรือเท็จ ดูได้จากองค์รวมต่อไปนี้......................................................... ที่มา : "ภูเตศวร" กับ "ธรรมะ ๕ นาที" ๑.ราศี ดูราศีของมนุษย์ผู้เป็นร่าง ตรงนี้ดูเป็นเรื่องยากสักนิดแต่ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นได้ชัดคนเหล่านี้จะมีอะไรบางอย่างที่ห่าง จากมนุษย์ทั่ว ๆ ไป พูดง่าย ๆว่ามีคุณลักษณะพิเศษกว่าตรงมองดูน่าเกรงขาม แต่น่าเข้าใกล้มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ๒.จริยวัตร ข้อนี้ดูได้ค่อนข้างง่าย เหมือนเราดูพระสงฆ์นั่นแหละครับ พระดีดีที่ศีลอันบริสุทธิ์ ดีที่สมาธิ และเป็นผู้มีปัญญาฉะนั้นแม้นร่างทรงจะเป็นมนุษย์ แต่ถูกควบคุมโดยเทพเจ้าเทพย่อมแตกต่างจากมาร ตรงที่มีคุณความดี มีศีลธรรมและสำคัญคือมีเมตตา...เท่าที่เคยพบเห็นร่างทรงแท้จริงมาส่วนใหญ่จะไม่เคยเรียก ร้องเงินทองจากมนุษย์ที่มาขอความช่วยเหลือ...จะยากดีมีจน จะให้การต้อนรับเท่าเทียมกัน ไม่เห็นคนร่ำรวยดีกว่าคนจนแต่มักจะมีความปรานีคนยากจนและลำบากด้วยการช่วยเหลือ ก่อนเสมอ... ๓.ปัญญา ตรงนี้สำคัญครับ ถ้าเป็นเทวดาลงมาประทับทรงช่วยมนุษย์แต่ปัญญาทึบอับกว่ามนุษย์แล้วจะลงมาช่วยได้อย่าง ไร? มีครับบางรายแอบอ้างว่า เป็นญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)ผู้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ อันเลื่องชื่อ ลงมาประทับแต่พออาราธนาท่านให้เทศน์โปรดบ้าง ท่าน (ร่างทรง) กลับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆเทศน์ไม่ได้ อย่างนี้ถ้าใครเชื่อก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไรแล้ว...การเป็นเทวดาต้องมีปัญญากว่าคนทั่วไป และแตกฉานธรรมะพอสมควรเพื่อแนะนำผู้มีทุกข์กายทุกข์ใจทั้งหลายในการปฏิบัติตนให้พ้น จากทุกข์ได้บ้างเท่านั้น ๔.ความสะอาด-สงบร่างทรงที่แท้จริงมักมีนิสัยชอบความสงบ...และที่อยู่ที่กินสะอาดตรงนี้ไม่ ได้หมายถึง มีบ้านช่องใหญ่โต หรือมีข้าทาสบริวารเยอะนะครับถึงจะอยู่ในกระต๊อบหรือที่ไหนคนเป็นร่างแท้มักจะเป็นคนรัก ษาความสะอาดและเป็นระเบียบดังที่มีประโยคกล่าวว่าจะดูพระสงฆ์วัดไหนดีไม่ดี ให้ดูลานวัน ลานวัดสะอาดเสนาสนะเรียบร้อย บอกได้เลยว่าวัดนั้นพระสงฆ์เป็นผู้พัฒนาทางจิตได้มากกว่า ครับ ร่างทรงก็เป็นเช่นนั้นถ้าแม้แต่หิ้งพระหรือที่บูชาเทพสกปรกรุงรังเต็มไปด้วยหยากไย่ฝุ่นละออง แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าจิตของเขาสะอาดพอที่จะรองรับพระญาณของเทพมาช่วยมนุษย์ ได้ จริงไหมครับ... สี่ประการที่กล่าวมาข้างต้นคือหลักการใหญ่ ๆที่ใช้สังเกตว่าร่างทรงที่คุณพบเห็นนั้นเป็น ร่างทรงแท้จริงหรือไม่แต่ก็ใช่ว่าในสี่ประการนั้น จะเป็นตัวพิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งนี้ เพราะถ้าผู้แอบอ้างเป็นผู้มีปัญญาฉลาดเฉลียวก็สามารถปรุงแต่งขึ้นมาได้เหมือนกัน ข้อสำคัญที่สุด...คือก่อนที่คุณจะไปพบร่างทรงเพื่อขอความช่วยเหลือต้องบอกกับตัวเอง ว่าเราเป็นผู้มีสติ...เป็นผู้มีปัญญาในการพิจารณาทุกสิ่งอันด้วยเหตุและผล ร่างทรงและเทวดาที่ลงประทับจะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะทั้งร่างและเทวดาต่างก็ยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น... ...อย่าเชื่อ! ว่าเทวดาจะล้างเคราะห์ล้างกรรมให้คุณได้ ...อย่าเชื่อ! ว่าการเสียเงินเสียทองมากมายแล้วจะทำการตัดเคราะห์ตัดกรรมได้ ถ้าเทวดาที่ไหนพูดอย่างนี้ ถือว่าไม่จริง! ...อย่าเชื่อ!ว่าการรับขันธ์ครู บูชาด้วยการยอมเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่นแล้วเทวดาจะมาอยู่ดูแลตัวคุณ อวยสุขให้คุณมีทรัพย์สินเงินทองขึ้นมาได้ ............................................................................ ถ้าร่างทรงนั้น สามารถรับพระญาณของเทพเจ้าได้จริง สิ่งที่คุณจะพึ่งพาได้มีอยู่สองประการเท่านั้น... คือ... ๑.คำทำนายทายทักเพราะเทวดาบางท่านมีกระแสญาณสามารถหยั่งรู้อดีต-อนาคตได้พอ สมควรที่ใช้คำว่าพอสมควรเพราะอำนาจของเทวดาก็มีอยู่ในขีดจำกัดตามบารมีของตนที่สะ สมมาเท่านั้นบางครั้งทำได้แต่ใกล้เคียง ไม่ใช่เป็นเทวดาแล้วจะรู้ไปเสียทั้งหมด ๒.ถ้าเทวดาลงประทับจริงสามารถให้ข้อคิด-ข้อธรรมให้เราเอามาใช้แก้ไขความทุกข์ได้บ้าง ในชีวิต แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นคุณก็ต้องเอาปัญญาของคุณพิจารณาด้วยเพราะเทวดาก็ใช่ว่าทุก องค์จะอยู่ในสัมมาทิฐิเสียทั้งหมดไปบางองค์ยังเป็นพวกมิจฉาลัทธิอยู่ก็มี การที่คุณรู้จักร่างทรงที่ไหนก็ตาม คุณต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่ถืออคติหรือโน้มนำจิตศรัทธาเสียตั้งแต่แรกพบ การวางจิตเฉย ๆ เป็นกลาง จะทำให้คนเราสามารถค้นหาเหตุผลมาพิจารณาได้โดยง่าย นำเสนอข้อมูลโดย... กุหลาบขาว... การเปิดพระโอษฐ์ คืออะไร..?? มนุษย์เราเกิดมาจะมีองค์บารมีคุ้มครองสังขารกันทุกคน จะเป็นองค์เทพ-พรหมหรือสัมภเวสี ก็แล้วแต่กุศลมูลเดิมหรือสัญญาที่ได้ทำกันไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติคนเราไม่สามารถที่จะเลือก องค์บารมีประจำสังขารได้ บุคคลใดที่พูดว่าเทพองค์นั้นองค์นี้ เสด็จมาประทับร่างของตน นั้นเป็นการพูดเพื่อยกตนให้สูงขึ้น โดยไม่รู้จริงองค์เทพที่เจ้าตัวได้คุยเอาไว้นั้นแม้แต่ช่วยตัว ร่างเองไม่ได้แล้วจะมีฤทธิ์ไปช่วยเหลือมนุษย์อื่นใดได้หรือ? การเชิญองค์บารมีของตนเองมาประทับร่าง หรือเรียกว่า “ การเปิดพระโอษฐ์”ใช่ว่าเมื่อเปิด แล้วจะได้เป็น“ คนทรง”หรือ “ร่างทรง”กันทุกคนไปเพราะว่าเทพแต่ละองค์นั้นท่านจะมีหน้า ที่ไม่เหมือนกันบางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น เปิดพระโอษฐ์รัก ษาโรคภัยไข้เจ็บ ปราบมาร ปราบผี ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในทางโชคชะตาราศีเทพส่วน มากจะลงมาเพื่อคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้นโดยจะไม่ช่วยเหลือมนุษย์คนใดเลยมีสำนัก ทรงจำนวนมากที่เทพของตนเองไม่มีหน้าที่ หรือว่าร่างทรงไม่มี “ บารมี”พอที่จะเปิดพระ โอษฐ์ได้ แต่ชอบที่จะใช้คำพูดเพื่อที่จะให้พ้นๆ ตัวไปว่า “ ยังไม่ถึงเวลา”คือถ้าหากจะพูดว่า ตัวเองเปิดไม่ได้ก็จะทำให้คุณค่าของตัวอาจารย์นั้นด้อยคุณค่าลงไปทำให้เกิดการหลงทาง บอกไปผิด ๆ ว่าองค์ของศิษย์เป็นเทพองค์ใหญ่ไม่จำเป็นต้องเชิญท่านลงมาประทับท่านจะ สื่อกับสังขารเข้ามาหาภายในจิตเองอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการยกย่องศิษย์คนนั้นไปในตัว เพื่อที่จะผูกมัดใจให้ศิษย์คนนั้น