วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

" จะรับ!!! ขันธ์ ทำไม?? รู้ดี!หรือยัง? (อินทรีย์เมฆาเรียบเรียงและรวบรวม)



 ส่วนมากมัก ถูกหลอกให้รับขันธ์ จึงตกเป็นเหยื่อของผีห่ามากมาย เพราะหลงคิดว่าการรับขันธ์ จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางเจริญได้อย่างรวดเร็ว จากจุดนี้เอง เรื่อง ขันธ์ 5 คือต้นเหตุ ที่คนไทยยังขาดความรู้ ความเข้าใจ อย่างกว้างขว้าง อยู่มากเกี่ยวกับ การรับขันธ์ และ ความหมาย ของ ขันธ์5 นั่นเอง

การเป็น ร่างทรงนั้น ไม่ใช่ใครอยากจะเป็นก็เป็นได้ แต่เดี่ยวนี้ที่เห็นเป็นร่างทรงกันมากมาย เพราะตกเป็นเหยื่อของ ขันธ์ผี

ร่างทรงที่แท้จริง นั้น มีน้อย และจะเป็นได้ ก็มีเหตุมาจากดวงชะตาที่ต้องเกิดมาเป็น ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับคนที่ ไม่อยากเป็น ไม่ได้สนใจอะไรทางนี้เลย คนเหล่านี้เมื่อถึงเวลาของเขาที่จะต้องเป็นร่าง ก็มักคิดหาทางหนีให้พ้น แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกราย เพราะชะตากำหนด และสำคัญ คนเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องผ่านการรับขันธ์ เพราะขันธ์ ไม่ใช่เครื่องหมายที่สำคัญของ ร่างทรงที่บริสุทธ์แท้จริง เมื่อถึงเวลา ก็จะเป็นร่างทรงได้เอง นี้คือเกร็ดเบื้องต้นแห่งข้อเท็จจริง ของ ร่างทรงที่เป็นของแท้ เท่านั้น ความจริงแล้ว พวกเขายังมีกฏเหล็ก ที่ต้องปฏิบัติรักษาไว้อีกมาก นอกเหนือจากการ รักษาศีล5 อีกด้วย สาธุ....

ปัจจุบัน ร่างทรงแท้ มีน้อยมากและส่วนมาก มักนิยมไม่เปิดเผยตัวตน ชอบอยู่ในสังคมแบบปกติทั่วไป มีน้อยที่เปิดตำหนัก แต่ก็เป็นตำหนักที่เน้นช่วยมากกว่า ไม่เน้นเรียกเงินทอง เอาแค่ตามศรัทธา คนพวกนี้เมื่อประสบเหตุการณ์ ที่ต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ถูกสิ่งเหนือธรรมชาติเล่นงานเอา จึงจะปรากฏตัวเข้ามาช่วย โดยที่เราไม่คิดว่า เข้าจะเป็น ร่างทรงองค์เทพเลย พูดง่ายๆคือดูไม่ออก ทั้งอายุ หรือ รูปร่าง หรือ หน้าตา หรือแม้แต่การแต่งตัว ก็แล้วแต่ ดูธรรมดาไปหมด




คุณถูกผีหลอกให้รับขันธ์รับองค์หรือเปล่า ?(ข้อความจาก saksitsart.com)

คำว่า รับขันธ์ แทนที่คุณจะเป็นฝ่ายรับ คุณกลับต้องเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายเสียขันธ์(ห้า)ให้พวกผีห่าซาตานไป
ขันธ์ห้าที่คุณต้องสูญเสียไปหลังจากที่คุณไปรับขันธ์ (ผี) รับองค์ หรือ รับสัญญา ยอมเป็นทาสผี
สิ่งที่คุณต้อง สูญเสีย ให้พวกผีห่าซาตานไปก็คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
แล้วคุณจะเหลืออะไร ?
ในเมื่อคุณหลงไปเป็นเหยื่อของพวกมันแล้ว ทุกอย่างในร่างกายของคุณตกเป็นทาสผี คุณบริจาคขันธ์ห้าให้พวกผีไปเพราะถูกพวกผีหลอก
ถ้าคุณบริจาคสังขารบริจาคอวัยวะให้โรงพยาบาล เมื่อคุณเสียชีวิตไปแล้วเขาจึงมีสิทธิ์นำอวัยวะที่คุณบริจาคไปใช้ได้
แต่สัญญา ขันธ์ สามารถใช้ร่างกายและจิตวิญญาณของคุณได้ ไม่ว่าคุณจะตายหรือเป็น!!!




"มีคนบอกว่าห้ามไปรับขันธ์โดยเด็ดขาดครับ"  แบบนี้จะดูอคติไปหน่อยครับ. วิเคราะห์ดังนี้
๑. 
การรับขันธ์ควร เป็นทางเลือกสุดท้าย สำหรับผู้ที่ตรวจวิเคราะห์ดวงแล้ว ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่นชะตาได้ถูกลิขิตไว้แล้ว..แลเจ้าตัวมีความเลื่อมใส  ศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย ได้มีการปฏิบัติบูชาเทพมาระยะหนึ่งก่อนแล้ว จนมีความมั่นใจว่า จะรักษาสัจจะวาจาว่า สิ่งที่ตนรับมาบูชา(องค์เทพประจำตัว) จะยึดมั่นถือมั่นไม่เปลี่ยนแปลง แลตัวเองได้มีการประทับหรือสื่อกับเบื้องบน มีการได้มาซึ่งภาษาเทพ (มิได้หมายรวมไปถึงการไปเปิดโอษฐ เปิดองค์มาก่อน)
ในกรณีที่รับขันธ์จากตำหนักอื่นมาก่อนสิ่งที่ทำได้คือ การขึ้นขันธ์ครูไว้บูชาโดยมมเจตนารมณ์ว่า
ก. บูชาครูทั้งห้า ครูเทพ ครูอาจารย์ ครูอบรมสั่งสอน ครูพัก ครูอักษร
ข. ป้องกันคุณไสย์คุณของ จากเจ้าตำหนักเดิมและสัมภเวสีทั่วไปครับ
ค. เพื่อความมีสิริมงคล เรียกว่า มั่งมี ศรีสุข อยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวยเงินทอง
ง. เพื่อเรียกขวัญ ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวครับ
จ. เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้ตั้งมั่นอยู่ในกรรมดีไม่ประพฤติตนให้เสื่อมเสีย
๒. จะพบเห็นได้ว่าเมื่อไปรับขันธ์มา บางท่านประสบปัญหา
ครอบครัว หรือชีวิตตกต่ำลง มีสาเหตุหลักๆดังนี้
ก. เจ้าตัวไปรับขันธ์ ทั้งๆที่มีกรรมลิขิตติดตัว เช่นทำแท้ง
ฆ่าคนตาย คดโกง แม้กระทั่งพี่น้องตนเอง
ข. เจ้าตัวไปรับขันธ์ทั้งๆที่ต้องอวมงคลอยู่
ค. เจ้าตัวไปรับขันธ์ เนื่องด้วยความโลภเป็นที่ตั้ง แลคิดว่าไม่ได้
ดั่งใจไม่รวยสมปราถนาในสามวันเจ็ดวันก็จะเอาขันธ์ไปทิ้งน้ำ
ง. เจ้าตัวอายุยังน้อย คิดว่าการรับขันธ์จะ ทำให้ตนเองกลายเป็นผู้วิเศษ
จ. เจ้าตัวอายุไม่มาก ยังติดในบ่วงกิเลสตัณหา จะเห็นว่าในโลกของอินเตอร์เน็ต
มีการคุยผ่านเอ็ม บางที่พัฒนาเป็นการทรงผ่านเอ็มเอสเอ็น
แล้วคุยผ่านกัน จนมีเรื่องชู้สาวตามมาก็มาแอบอ้างว่า
เทพในตัวของแต่ละฝ่ายเป็นคู่กันจึงมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวตามมา


ส่วนมากจะได้ยินคำว่าล้างขันธ์ ในที่นี้อาจารย์หมอยามี ประสงค์ให้ท่านแยกระหว่างการล้างขันธ์ครูกับการล้างขันธ์เทพ
การล้างขันธ์ครู มีจุดประสงค์ว่า
เมื่อท่านใดก็ตามมีความเลื่อมใสในครูอาจารย์ ต่อมาพบว่าประพฤตินอกรีด มีพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม ไม่สมควรแก่การเคารพบูชา ก็สามารถทำการล้างขันธ์ หรือจำเริญขันธ์นั้นๆทิ้งไปเสีย
เมื่อท่านใดก็ตามเคยรับขันธ์มาก่อน แล้วเจ้าตำหนักเดิม ประพฤตินอกรีด มีพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม ไม่สมควรแก่การเคารพบูชา ก็สามารถทำการล้างขันธ์ หรือจำเริญขันธ์นั้นๆทิ้งไปเสีย

ข้อเตือนใจ เหตุผลนอกเหนือจากนี้ เช่น
๑. มีร่างทรงอื่นๆ มาดูหิ้งท่าน แล้วทำนายทายทักว่า ขันธ์ครูไม่ดีต้องล้างแล้วท่านก็ทำการล้างขันธ์ทิ้ง
๒. 
ท่านเคยเจ็บป่วย เมื่อรับขันธ์มาอาการดีขึ้น อยากหายไวๆ อยากรวยไวๆมีคนมาทักก็ล้างขันธ์ทิ้ง
๓. รับขันธ์มาเพื่อหวังรวย ไม่รวยทันใจก็ล้างขันธ์ทิ้ง
๔. รับขันธ์มา แล้วไม่สามารถปฏิบัติได้ (ต้องขอขมาครูอาจารย์ก่อนครับ)

๕. รับขันธ์มาแล้วมีครูอาจารย์ ยังไปออดอ้อนเป็นศิษย์หลายสำนัก
การล้างขันธ์หรือมีพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นศิษย์ล้างครูครับ





ขันธ์ ๕ คือ
          เครื่องสักการะบูชาผู้ที่จะมาขอเป็นศิษย์จัดมาให้ครูบาอาจารย์ เพราะในบรรพกาลผ่านมาจวบจนปัจจุบัน การที่จะเรียนรู้สารพัดวิชา จะต้องอาศัยการศึกษาจากผู้ที่เป็นครู และการจะขอเรียนวิชาเหล่านั้นก็จำเป็นต้องจัดตั้งขันธ์ ๕ .....ขันธ์ ๕ ดังกล่าวประกอบด้วย ดอกไม้ขาว ธูป เทียน ผ้าขาว และใช้ใบตองทำกรวยทรงแหลม ๕ กรวย บรรจุดอกไม้ ธูปเทียน ๕ คู่ ใส่ลงในกรวยทั้ง ๕ แล้วจึงนำลงบนผ้าขาวที่วางรองรับอยู่บนพาน หรือภาชนะ แล้วจึงนำเข้าไปกราบครูบาอาจารย์เพื่อขอเป็นศิษย์ .....ซึ่ง...ผู้เป็นครูก็จะตรวจดูดวงชะตา ว่าสมควรที่จะรับเป็นศิษย์ได้หรือไม่ เพราะบางทีจะกลายเป็นศิษย์คิดล้างครูได้ในภายหลัง จึงจำเป็นต้องตรวจเช็คดูเสียก่อน หากไม่ประสงค์ที่จะรับเข้าเป็นศิษย์ก็จะไม่รับขันธ์ ๕ .....หากพิจารณาเห็นสมควรแล้วก็รับขันธ์ ๕ นั้นมา

ขันธ์ ๕ ของมนุษย์
          ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ .....เทพเป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง ๓ ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ ๕ ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตนว่า ยินยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้นๆ และยังหมายถึงข้อตกลงระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพผู้นั้น ไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี .....โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้มีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป
          ดังนั้น.....ความหมายของการรับขันธ์ขององค์เทพ จึงเป็นสัญญาใจ หรือข้อตกลงในการประพฤติปฏิบัติทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนแห่งเทพ ...ดังนั้น จึงจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตัวให้ถูกต้องในความหมาย ดังนี้

          ขันธ์ ๕ หมายถึง                การรับศีล ๕ ไปปฏิบัติโดยเคร่งครัด ...ถ้าคิดว่าทำไม่ได้อย่าเผลอไปรับเข้า ...มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้
          ขันธ์ ๘ หมายถึง                การรับศีล ๘       ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น
                                                  สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง
          ขันธ์ ๙ หมายถึง                การรับอุโบสถศีล ถือศีล ๘ เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้ หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้
                                                  อย่าทำตัวเป็นหมา แมว กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ
          ขันธ์ ๑๐ หมายถึง               ศีลของสามเณร หรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท ๑๐ ประการ
          ขันธ์ ๑๖ หมานถึง              ศีลของนักบวชที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมื้อเดียว งดเว้นของสด ของคาว กินแต่
                                                  ผลไม้ เผือก มัน ...ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่านอยู่ด้วยการสำรวม



รื่อง ทำบุญพระ ไป บูชาผี (เล่าเรื่องจากผู้ไปรับขันธ์ผี)
เล่าเรื่อง Seeker


จะขอเล่าเรื่องผลที่เกี่ยวเนื่องกับการรับขันธ์ของคนที่ผมรู้จักมาให้ฟังเป็นวิทยาทานครับ

สืบเนื่องจากผมได้พาเพื่อนผมไปหาอาจารย์เสริมศิลป์ ขอนวงค์ ในงาน
ทำบุญกฐินหลวงปู่อ่ำ โดยมีประธาน คือ คุณโฆสิต ล้อศิริรัตน์ ลูกศิษย์ของอาจารย์คนหนึ่งครับ คุณโหน่งและคุณแม่ได้ไปร่วมงานและไปพบอาจารย์เพื่อรับการรักษาจากอาจารย์ เพราะคุณโหน่งที่ขาไม่มีเรี่ยวแรง (เรื่องคุณโหน่ง ผมกำลังเขียนอยู่ครับ) หลังจากโหน่งทำการรักษาเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เคลื่อนย้ายกลุ่มมาทำบุญกันที่วัดหลวงปู่จันทา.. ทำบุญกันแล้วก็สวดมนต์กันตามคอนเซ็บเดิมครับ..

จากนั้นจึงเป็นการรักษาผู้ป่วยที่ทยอยเข้ามารับการรักษาอีก ๒ - ๓ คน..อาการก็หนักเบาต่างกันไป..

จนมาถึงคราวของคุณแม่ของคุณโหน่งบ้าง (ถึงคราวจริง ๆ ครับ ถึงคราวของผีนะครับ) ..ซึ่งตอนมาครั้งแรกก็ไม่ได้คิดหรอกครับว่าจะมารับการรักษาด้วย.. แต่คงจะเห็นหลาย ๆ คนรักษาแล้วพูดไปในทำนองเดียวกันว่าดีขึ้น.. สบายตัวขึ้น.. คุณแม่ของคุณโหน่งซึ่งบ่นว่าปวดหลัง ก็เลยรบกวนให้อาจารย์ตรวจรักษาให้ครับ

อาจารย์ก็วางมีดให้เลยครับ... สเต็ปเดิม.. เริ่มที่กระหม่อม ไล่ลงมาเรื่อย ๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติจนพอมาถึงช่วงหลัง.. พออาจารย์วางมีดที่ช่วงส่วนด้านหลังปุ๊บ... ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคุณแม่ของโหน่งร้องออกมาสั้นๆ แต่ชัดเจนว่า.. "อุ๊ย.. "
จากนั้นก็ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดพร้อมกับอาการดิ้นทุรนทุราย ..


คุณแม่กรีดร้อง ดิ้นทุรนทุราย แต่ตายังคงหลับอยู่ครับ

ข้าพเจ้าต้องรีบเข้าไปประคองให้คุณแม่ล้มตัวลง

อาจารย์วางมือบนศีรษะของคุณแม่ครับ (ข้าพเจ้านั่งหันหลังอยู่ครับ ใส่เสื้อทีมของกลุ่มครับ อิอิ เพิ่งได้วันนั้นเองครับ อิอิ) 
ในขณะที่คุณแม่กรีดร้อง ร้องให้ พร้อมกระทืบเท้าอยู่นั้น อาจารย์ก็วางมือบนศีรษะคุณแม่ แล้วหลับตา



อาจารย์ : "เอ้า ... ไปไปไป ไปเลย"
คุณแม่ : "กรี๊ดดดดด โว๊ยยยย โอ๊ยยยยย กรี๊ดดดด "
อาจารย์ : "ออกไปเลย"
คุณแม่ : "โว๊ยยย โอ๊ยยยยย โอ๊ย! โอ๊ย! แอ่กกก "

คุณแม่ตะโกนสุดเสียงเลยครับ แต่ตาหลับ สลับกระทืบเท้าอยู่อย่างนั้นครับ เสียงเท้ากระแทกพื้นหินขัด แรงมากจนคิดว่าคุณแม่ไม่เจ็บเลยหรือเพราะกระทืบเท้าแรงจริง ๆ ครับ


ดิ้นและร้องอยู่สักพักอาจารย์ก็เริ่มแผ่เมตตาให้ครับ

อาจารย์ : "สัพเพเปตา สัพเพอสุรกายา สัพเพ เปตาวัตถุโย เสเพเปตวิเสยยา สัพเพวินินปาติกา อะเวรา อัพยาปัชชาโหนุตุสุขี ...."

ในขณะที่อาจารย์แผ่เมตตา คุณแม่ก็ร้องให้ น้ำตาไหลพราก ๆ แต่ตายังหลับอยู่ครับ แล้วก็ร้องให้กระทืบเท้า "เฮ้ยยยย โฮ๊ยยย โฮฮฮฮ " สลับไปมาอย่างนี้ครับ จากวีดีโอที่อัดมานั้น ทำให้ไม่ค่อยได้ยินเสียงอาจารย์ เพราะเสียงคุณแม่ดังมากครับ

อาจารย์ : "... สัพพะวิญญาณทั้งหลาย เปรตอสุรกาย ทั้งหลาย .."

ช่วงนี้ล่ะครับ คุณแม่เริ่มหยุดร้อง หยุดกระทืบเท้าแล้วก็เริ่มนอนนิ่ง ๆ

อาจารย์ : "เอ้อ... ไปซะเด้อ ไป มา..ไปด้วยเด้อ "

แล้วอาจารย์ก็หลับตานิ่ง คุณแม่ก็ร้องในลำคอเบา ๆ ครับ อาจารย์วางมือที่ศีรษะของคุณแม่ คุณแม่ก็ร้องอีกครับ "ฮึก ฮืออ อื๊อออ " ฮื้ออ ฮึก ฮือ

อาจารย์ : "ไปเล๊ย ไป ไปเน้อ "
คุณแม่นิ่ง ไปแป๊บเดียวครับ แล้วกระตุกแรง ๆ หนึ่งครั้ง... อาการก็ค่อย ๆ สงบลง...

พอคุณแม่สงบ.. อาจารย์ก็บอกให้ข้าพเจ้าเรียกชื่อให้ตื่น...



ผมเองครับ : "แม่ ... แม่ครับ" พร้อมกับเขย่าตัวท่านด้วย
อาจารย์ : "ฟื้นแล้ว ฟืนแล้ว" "ลืมตา"



เรียกอยู่สักพัก ก็ตื่นขึ้นมา... อาจารย์ก็พยุงตัวคุณแม่ขึ้นให้ลุกขึ้นนั่ง ... ดวงตายังมีน้ำตาไหลอยู่ทั้งสองข้าง พอลืมตาขึ้นมาได้ก็หันไปมองรอบ ๆ.. พร้อมทั้งเช็ดน้ำตา.. หน้าตาแสดงออกบ่งบอกว่า งง..

อาจารย์ : "เอ้า ถามสิ เมื่อกี้เราร้องให้รึเปล่าถามสิ"
คุณปู : "คุณแม่ เมื่อกี้ร้องให้รึเปล่า...."
อาจารย์ : "เมื่อกี้ เราได้ร้องไหม"

คุณแม่ส่ายหน้าครับ
อาจารย์ : "ไม่ได้ร้องนะ"
มีคนบอกให้คุณแม่หันไปหาอาจารย์
อาจารย์ : "เมื่อกี้เราได้ร้องรึเปล่า"
ทนายบวร : "แล้วเห็นอะไรไหม"
อาจารย์ : "เห็นอะไรไหม" "แต่เราได้ร้องใช่ไหม ร้องให้รึเปล่า"

ที่คำถามถามซ้ำ ๆเพราะคุณแม่เช็ดน้ำตา ยังคงมึนเบลอ ๆ อยู่เลยครับ คนช่วยกันถามตั้งหลายคน (ไทยรวมกำลังตั้งมั่น ...)

คุณแม่ : "ไม่รู้เหมือนกัน" พูดพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง
อาจารย์ : "แต่เราร้องรึเปล่า"
คุณแม่ทำท่าคิดแล้วก็พยักหน้า : "ร้องนะ"

อาจารย์ : "เอ้า.. ถ้าร้อง ร้องให้ให้ดูหน่อยสิ"
คุณแม่งง ๆ แล้วก็ทำท่าร้องให้ครับ "แง แง " แกร้องแค่นี้ครับ ร้องให้ของคุณแม่

ผมสอบถามหลังจากนั้นเพิ่มเติมด้วยครับ เพราะช่วงนั้นคนหลายคน ทั้งลุ้นทั้งยิงคำถามแม่เขาเบลอครับ คำตอบที่ได้คือไม่รู้เรื่องเลย... จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองร้องไห้ แต่ รู้สึกเหมือนฝัน... ฝันว่ารู้สึกโกรธ.. อยากกระทืบเท้า... อยากร้องดังๆ... อยากจะร้องไห้.... ก็ฮากันทั้งพระธาตุสิครับ..

แล้วอาจารย์ก็บอกให้ลองลุกขึ้น.. และลองขยับตัว ก้มลงหรือขยับบิดเอวไปมา ที่เมื่อก่อนมารักษาเมื่อก้มตัวแล้วจะปวดบริเวณเอว และด้านหลัง ... เมื่อลงขยับตัว ก้มเงย... ก็ปรากฏว่าไม่มีอาการปวดเอวอีกเลย

จากนั้นก็มีการสอบถามกันไปมาว่ามันเกิดจากอะไร.. และจุดเริ่มต้นมาจากไหน... ซึ่งรายละเอียดพอจะสรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้

คุณแม่ของคุณโหน่งนั้น เมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนโน้น..ได้มีเพื่อนมาชวนไปดูหมอ ผูกดวงคุณก็ไปแบบงั้น ๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่พอไปถึง.. แม่หมอ (หรือพ่อหมอก็ไม่ทราบได้) บอกว่าคุณแม่มีร่างบริสุทธิ์ และที่องค์.. ให้มารับขันธ์ซะ เพื่อจะได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง... แม่โหน่งเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก.. เห็นเพื่อน ๆ คะยั้นคะยอให้ไปรับขันธ์กับแม่หมอเลยตัดลำคาญไปรับ ๆ ซะให้จบ ๆ...

หลังจากนั้นมาแม่ก็มักจะมีองค์มาลงอยู่ประจำ... อ้างว่าเป็นองค์นั้นบ้าง.. องค์นี้บ้าง.. รวมๆแล้วก็ ๕ - ๖ องค์เลย...

ต่อมา.. ได้มีคุณแม่ (ท่านปฏิบัติธรรม)อะไรข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ซึ่งเป็นที่เคารพของครอบครัวคุณโหน่งมาทักว่าคุณแม่ไปรับสิ่งไม่ดีของใครมาเยอะแยะ.. คุณแม่คนนั้นจึงได้ทำการปลดปล่อยออกให้ ก็เข้าใจว่าคงหมดไปแล้ว...แต่ตัวของคุณแม่คุณโหน่งเองก็ยังมีองค์มาลงอยู่อีกหนึ่งองค์อ้างตัวเองว่าเป็นกุมารทอง ก็มาอยู่กับแม่มานาน.. รวม ๆ แล้วก็ ๒๐ กว่าปีนั่นแหล่ะ จนคนในครอบครัวคุ้นเคยจนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปเลยทีเดียว เพราะชอบมาลงที่คุณแม่ และพูดคุยหยอกล้อกับคนในบ้านกับคนในบ้านอยู่เสมอๆ จึงทำให้คนในบ้านคุ้นเคย.. อีกทั้งยังทำให้คุณแม่ของคุณโหน่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอด.. ยิ่งถ้าวันไหนไปวัดทำบุญ.. แม่ของโหน่งจะเป็นคนที่เดินเร็วมาก.. และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย... จึงทำให้ไม่รู้สึกกลัวสิ่งที่เรียกตัวเองว่ากุมารทอง

แต่มาเมื่อ ๒ - ๓ ปีให้หลังนี้เองที่แม่ของโหน่งรู้สึกปวดหลังปวดเอวอย่างไม่มีสาเหตุ.. เวลาก้มลงหยิบของก็จะรู้สึกเจ็บปวดมาก ถึงขั้นลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว... แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก.. คิดว่าเป็นโรคผู้สูงอายุปรกติ..

จนมาพบอาจารย์ในครั้งนี้นี่เอง.. ถึงได้กระจ่างใจว่า... สิ่งที่เกาะติดอยู่กับตัวเองตลอด ๒๐ กว่าปีนั้น.. คืออะไร จากการสอบถาม อาจารย์ได้ความว่า... สิ่งที่อยู่ในตัวแม่ของโหน่ง... ไม่ใช่กุมารทอง.. อยู่มานานแล้ว.. จนมีอิทธิฤทธิ์ พอสมควร ที่คุณแม่โหน่งรู้สึกปวดเอวนั้นเพราะว่าสิ่งนี้เค้าไปอาศัย
อยู่ที่บริเวณส่วนเอวของคุณแม่โหน่งนั่นเอง.. ต่อคำถามที่ว่า.. ถ้าเป็นสิ่งไม่ดีทำไมเวลาแม่เข้าวัดทำบุญ แม่ถึงได้กระปรี้กระเปร่า ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอย่างนั้น.. ก็ได้รับคำตอบว่า.. เพราะว่าเค้าต้องการผลบุญนั่นเอง ยิ่งเราทำบุญมากๆ.. เขาก็ยิ่งชอบ.... แล้วไม่ดีหรือ.. ที่เค้าชอบทำบุญ... ดีครับ..

ดีสำหรับเค้า... แต่ไม่ดีสำหรับเรา.. 

เพราะบุญที่เราตั้งใจทำมาทั้งหมดทั้งหลายเหล่านั้น... ต้องปันไปให้วิญญาณตัวที่ ผู้ไปรับขันธ์มา เพราะแค่คำว่า "ยอมรับขันธ์ผี" "รู้" หรือ "ไม่รู้" ก็ต้องเลี้ยงผีด้วยบุญที่เราทำครับ เขาไม่ใช่ญาติ เราไม่รู้จัก ไม่คุ้มเลยครับ ....

เรื่องราวข้างต้นเป็นเรื่องจริงซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในเหตุการณ์และรับรู้เรื่องราวโดยตรงด้วยสองตาและจากการสอบถามความเป็นมาจากแม่ของโหน่งโดยตรงครับ ข้อแแนะนำสำหรับข้าพเจ้าคือ..

อย่าไปรับขันธ์ใครเค้ามาดีที่สุดครับ...
ลำพังแค่ขันธ์ ๕ ของตัวเราเองก็ยังดูแลลำบากอยู่แล้วครับ