ไอน์สไตน์ ได้กล่าวถึงพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล รองรับได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยในช่วง 1 ปีก่อนที่ไอน์สไตน์จะจากโลกนี้ไป มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง “The Human Side” มีเนื้อหาดังนี้
"…ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล เป็นศาสนาที่ข้ามพ้นความเชื่อที่เป็นตัวเป็นตนของพระเจ้า และหลีกเลี่ยงความเชื่อที่ศรัทธาแบบหัวรุนแรงโดยไม่พิสูจน์ และเรื่องความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับโลกมนุษย์ แต่จะเป็นศาสนาที่ครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ โดยมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกทางศาสนาที่มาจากประสบการณ์ที่ได้ประสบกับสรรพสิ่ง ทั้งจากธรรมชาติและจิตวิญญาณ ด้วยนัยความหมายที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งพระพุทธศาสนาสามารถให้คำตอบในสิ่งที่พรรณนามาดังกล่าว ถ้าจะมีศาสนาใดที่รองรับได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนานั้นก็คือ พระพุทธศาสนา…."
ไอน์สไตน์ยังให้ความสนใจในเรื่องของพลังจิต และกระบวนการอบรมจิตตามหลักการของพุทธศาสนา และเชื่อว่าศาสนาพุทธเท่านั้นที่จะสามารถนำพาเขาให้ค้นพบสัจธรรมความจริงแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ได้ เรื่องของจิตและพลังจิตจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคน
พุทธศาสนามีหลักธรรมคำสอนที่เน้นความเป็นเหตุเป็นผลมีที่มาที่ไป "สอดคล้อง" กับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ดังพุทธพจน์ที่ตรัสต่อพระสารีบุตรว่า "ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ...ผลก็ดับ" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก Scientific method มาก
อีกอย่างหนึ่งถ้าเราวิเคราะห์กันอย่างตรงไปตรงมาไม่มีใจเองเอียน
"ศาสนาพุทธสอนให้ความสำคัญกับความเป็นจริง ... ในขณะที่ศาสนาอื่นให้ความสำคัญกับเรื่องความรู้สึก"
ด้าน กามาลสูตร 10 ประการ เรื่องการเชื่ออันเป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงการมองหาและยืนอยู่กับเป็นจริงตามธรรม ดังนี้
กาลามสูตร ที่บอกว่าอย่า เชื่อ 10 ประการ
แต่จงพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
ในขณะเดียว
มีหลายท่านเข้าใจว่า ธรรมะกับวิทยาศาสตร์เป็นคนละเรื่องกัน
แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่า เป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์สมัยนี้ ยังไม่ละเอียดอ่อนเพียงพอที่จะเข้าถึงหรืออธิบายธรรมะได้
?ในเมื่อธรรมะคือสภาวะความจริงของธรรมชาติ หากเราจะพูดเรื่องนี้ในกรอบของเซต (set) แล้ว วิทยาศาสตร์เป็นเพียงเซตย่อย (subset) ของเซตใหญ่ ที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง? (24 January 2007, Dayvil)
ปริศนาคำพูดของอัลเบิร์ต ไอสไตล์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอสไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง ?The Human Side? ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า
?The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism.?
(May 19th, 1939, Albert Einstein?s speech on ?Science and Religion? in Princeton, New Jersey, U.S.A.)?
?ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุ บัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา?
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพันธ?ภาพ ศาสนาเดียวที่จะเหลืออยู่ในโลกอนาคต ก็คือ ศาสนาที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการตามกฎของธรรมชาติ เหมือนกับที่ไอสน์ไตน์เขาพูดไว้ว่า
?ศาสนาที่เหลืออยู่ในโลก ก็คือศาสนาที่สามารถเผชิญกับความต้องการของโลกแห่งยุคปัจจุบัน?
แต่......กว่าจะถึงเวลานั้นเกรงว่า............โลกจะไม่เหลือผู้คนให้นับถือศาสนา
วิกฤติคุณธรรมกำลังกลายเป็นวิกฤติโลก !!!!
- สหรัฐฯ และรัสเซียมีหัวรบพร้อมใช้มากกว่า 26,000 หัวรบเก็บไว้ รวมถึงการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมและพลูโตเนียม และข้อเสนอให้มีการทำลายนิวเคลียร์ทั่วโลกล้วนได้รับการปฏิเสธ
- หลายประเทศต่างกำลังพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกาหลีเหนือ,ปากีสถานและอิหร่าน
นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกได้ร่วมกันขยับ ?นาฬิกาโลกาวินาศ? (Doomsday Clock)
ให้เหลือเพียง 5 นาที เพราะนอกจากปัญหาวิกฤตินิวเคลียร์แล้วเรายังต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤติอื่นๆซึ่ง ร้ายแรงและสามารถทำลายโลกได้เช่นกัน เช่น
- วิกฤตปัญหาโลกร้อน
- เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดมลพิษ
- การเติบโตของนาโนเทคโนโลยี
- ความก้าวหน้าทางด้านพันธุกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ
- สงครามศาสนาและการก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพ
สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen W. Hawking) นักฟิสิกดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของโลก มาร่วมพีธีการขยับเข็มนาฬิกาครั้งนี้ด้วย โดยให้สัมภาษณ์ผ่านเครื่องสังเคราะห์เสียงว่า แค่วิกฤติโลกร้อนก็ทำร้ายโลกไปมากกว่าครึ่ง ยิ่งกว่าการก่อการร้าย เพราะก่อการร้ายอาจจะฆ่าผู้คนได้ทีละร้อยละพัน แต่โลกร้อนทำลายได้เป็นล้านๆ ชีวิต พวกเราควรทำสงครามกับโลกร้อน มากกว่าสงครามกับผู้ก่อการร้าย
ผลกระทบโดยตรงจากภาวะโลกร้อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าในรอบ ๔๐ ปี อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเพียง ๐.๖ หรือ ๑ องศาเซลเซียส ได้ส่งผลต่อระดับความรุนแรงของภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้น ๔-๕ เท่าตัว
แต่...น่าแปลกไหมที่ประเทศมหาอำนาจ ต่างปฏิเสธ การกำจัดหรือลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์แม้กระทั่งสนธิสัญญาเกียวโต ว่าด้วยการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆที่จะทำให้โลกเกิดสภาวะเรือนกระจก ที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ริเริ่ม ก็ถูกสหรัฐฉีกทิ้ง โดยให้เหตุผลว่า การเก็บภาษีคาร์บอนจะทำให้สร้างความเสียหายต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมยืนกรานให้ประเทศที่ก่อมลพิษอย่างจีนและอินเดีย เห็นชอบในข้อตกลงนี้เสียก่อน ทั้งๆ ที่ตนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซมากเป็นอันดับหนึ่ง......ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
กรรมที่เป็นภัยพิบัตร้ายแรงอย่างเช่นพายุแคททาลีน่า
และภัยจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย รวมทั้งกรรมที่ก่อร่วมกันทั้งโลก
กำลังจะแสดงผลภายในไม่ช้านี้
ติดอาวุธให้ธรรมะ เอาชนะด้วยคมธรรม
พิฆาตกรรม กระสุนธรรม ทะลวงใจ
รุกฆาตไป โดยระเบิดธรรม(ระบำเถิด)
ทำหมันการเกิด ดับความไม่รู้
เป็นยอดนักสู้ พลีชีพมาร ในหัวใจ.....กันเถอะนะ ^ ^
วิกฤติคุณธรรมกำลังกลายเป็นวิกฤติโลก ไม่ว่าวิกฤตินิวเคลียร์หรือวิกฤติไหนๆ ใครจะเป็นผู้ก่อก็ตาม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะต้องได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งโลก เรามาร่วมต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายและวิกฤติเหล่านี้ด้วยการก่อการดี ธรรมะเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือที่จะแก้ปัญหาที่มนุษย์ก่อขึ้นได้ทุก ทุกข์ปัญหา ติดเขี้ยวเล็บและอาวุธให้ธรรมะ แล้วพุทธานุภาพจะปรากฏ